ผู้ถาม : ตื่นมาพิจารณากายตอนเช้า ศพเดิม รอบนี้เห็นชัดตรงเส้นผมว่ามันแห้งเหี่ยวกรอบมาก แต่รอบนี้ มันโน้มเข้าหาตัวเอง เห็นผมตัวเอง ทั้งสด ใหม่ ดำขลับอยู่ มันเห็น ตัวเราผู้ยึดถือ ที่มีราคะ มีมิจฉาทิฏฐิชัดมาก ยิ่งชัดมันก็ยิ่งยึด ยิ่งเห็นมันสวย แต่พอย้อนเข้าหาตัวเอง รู้ตัวว่าก็ตัวเรายึด แค่รู้มันก็ปล่อย พอปล่อย จึงเห็นความจริงของสิ่งนั้น คือ ผมมันก็เหี่ยว แห้ง กรอบ ไม่น่ามองเลย เป็นอสุภะและสุดท้ายก็แห้งขดเป็นม้วน แล้วก็สลายไป รอบนี้มันร้องไห้ ตอนที่เห็นตัวเอง เห็นตัวเราผู้ยึด มันเข้าหาผู้รู้ได้เอง โดยที่ไม่ต้องไปให้หลวงตาชี้แล้ว มันรู้แล้วว่าจะเห็นตัวเองอย่างไรเจ้าค่ะ โชคดีเหลือเกิน ที่เกิดเป็นคน มีร่างกายอยู่ และมีผู้ชี้ทาง ได้มาศึกษาร่างกายจนเห็นความเป็นจริงของตัวเรา ถ้าไม่เห็นตัวเรา มันไม่อาจพ้นทุกข์ได้จริง ๆ กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาลูกมาตลอดเจ้าค่ะ และหลังจากนั้นไปอาบน้ำเสร็จ เช็ดผมและเห็นเงาของตัวเองในกระจก แค่เห็นเท่านั้น ความรู้สึกว่า ผมสวย มันมาเลย ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึก ยิ่งรู้สึกก็ยิ่งเห็นชัด น้อมรูปผมของศพขึ้นมา เห็นเลยว่า "ทำไมความรู้สึกเห็นผมศพ มันต่างจากผมเราล่ะ" มันจึงย้อนหาตัวเราเองอีกรอบ และมันก็ปล่อยเอง พอปล่อยภาพผมในกระจก มันก็เก่า เหี่ยวแห้งไปอีก ธรรมมันปรากฏว่า นี่แหละ คืออริยสัจในใจตัวเอง นี่คือประตูก้าวข้ามโลกของเจ้า ขอเพียงเดินต่อในทางนี้ นิโรธ จะหยั่งลงในใจเจ้า ขอเพียงทำต่อเนื่อง มันจะเป็นความจริง ไม่ใช่ความจำอีกแล้ว ท่านจะเดินต่อหรือไม่ ? แต่ถ้าท่านไม่ต้องการก้าวข้ามให้เป็นปัญญา ท่านไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น มันจะกลับสู่เส้นทางของสมุทัยและทุกข์เอง ตามอาสวะของตัวเจ้า มันขึ้นมาแบบนี้เจ้าค่ะ การให้เป็นความจริงที่ใจ ทำได้ทางเดียว คือ เพียรอย่างต่อเนื่อง ที่จะว่ายทวนกระแสของอาสวะของตนเอง ไม่มีทางอื่น ตรงนี้ไม่มีใครช่วยได้ด้วย ต้องเดินเองเจ้าค่ะ หลวงตา : สาธุ อย่าประมาทในกิเลส และ อย่าประมาทในธรรมเป็นอันขาด เพียรพิจารณาตามที่รู้เห็นอย่างนั้นให้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561