ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาที่ส่งไฟล์ ไอ้บ้า ไอ้ใบ้ ตอนที่ 4 มาให้ฟังเจ้าค่ะ
ขอบคุณผู้ตั้งคำถามตรงใจกับที่หนูสงสัยเรื่องจิตสุดท้าย ตอนนี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วค่ะว่า ถ้ายังมีตัวตนอยู่ จิตสุดท้ายมันก็ยังไม่แน่ว่า มันจะยังไง ถ้าจิตสุดท้ายมันเศร้าหมอง หรือเจ็บปวดทุกข์ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บ หรือตายไปขณะไม่มีสติ มันก็ต้องไปอบายภูมิ แต่ถ้าจิตสุดท้ายมันนึกถึงแต่บุญกุศลที่ทำมา มันก็ได้ไปสวรรค์
แต่ยังไงก็อาจจะสามารถลงอบายภูมิได้อยู่ดีเมื่อเราหมดบุญ เราก็ต้องรับผลกรรมที่เคยทำไว้ เพราะมันยังมีตัวเรา ยังมีประธานที่ต้องรับผลการกระทำต่าง ๆ
ดังนั้น เราควรพิจารณาให้สิ้นตัวตนในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในทุกขณะปัจจุบันดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องไปลุ้นตอนจิตสุดท้ายว่ามันจะเป็นยังไง เพราะเมื่อมันสิ้นตัวตน มันก็ไม่มีประธาน ไม่มีใครไปรับผลกรรม
ดังนั้นในทุกขณะปัจจุบัน ถ้าเราพิจารณาจนเห็นความจริงว่า สังขารร่างกายภายนอกหรือขันธ์ห้า มันเสื่อมไปตลอดเวลา มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ส่วนความคิดปรุงแต่งภายในใจ มันก็เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับไปในความไม่มีอะไร (เหมือนต่อมน้ำบนพื้นน้ำ ) เท่ากับมันไม่มีสิ่งใดเที่ยง และไม่มีสิ่งใดยึดมั่นถือมั่นได้ มันก็ไม่มีความทุกข์ต่อสิ่งใด เพราะมันไม่มีเราที่จะไปยึดสิ่งใดให้เป็นทุกข์ ต้องเพียรโยนิโสมนสิการแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
แต่ขณะจิตใดที่มันหลงยึดว่ามีเรา มีประธาน เมื่อนั้นมันก็มีประธานไปยึดกิริยาจิตว่าเป็นตัวเรา ของเรา ก็จะเกิดความทุกข์ได้ทันที
หากขณะจิตใด มันสิ้นตัวตน มันก็วนอยู่ในวงล้อธรรมจักร (ไอ้ใบ้)
หากขณะจิตใดมันยึดว่ามีตัวมีตน มันก็วนอยู่ในวงล้อวัฏจักร (ไอ้บ้า)
ดังนั้นถ้ามันยังไม่หลุดจากทั้งสองวง ไปในธรรมชาติ จิตสุดท้ายมันก็ยังไม่แน่ว่าจะไปอยู่วงไหน???
หลวงตา : อธิษฐานจิตถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และหลวงตา ขอให้ฟังธรรม อ่านธรรมที่หลวงตาโพสต์หรือแชร์มาในสื่อธรรมทั้งหมด ให้ธรรมเข้าถึงใจ ใจเป็นธรรมโดยถาวรสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ
แล้วตั้งใจฟังไฟล์ที่ส่งมานี้
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565