ผู้ถาม : หลังจากส่งการบ้านเสร็จ มาอธิษฐานจิตแผ่เมตตาเสร็จ ก็ฝึกพลังลมปราณต่อ คืนนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ พลังความร้อน จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความเย็นซ่าส์แบบเบา ๆ แผ่ทั่วทั้งตัว
คาบที่ 2 มีเสียงกะตุกในกาย 2 ครั้ง เป็นที่กลางแผ่นหลังกับในท้อง เป็นแสงสว่างเหมือนแบบสีสายรุ้งครึ่งวงกลมมาคลุมที่ร่างกาย
ครั้งแรก ก็มีความสงสัยเกิดขึ้นจึงได้ทำไป 5 คาบ ก็เป็นเหมือนกันทุกครั้ง จิตมีปิติ เบาสว่างนั่งยิ้ม อยู่นาน
จะเพียรปฏิบัติตามคำสอนให้ต่อเนื่อง ขอน้อมกราบขอบพระคุณในเมตตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : ทุกปัจจุบันขณะอย่ามัวแต่ไปสนใจ ใส่ใจ ให้ค่า ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกรู้ เช่น แสง สี นิมิตต่าง ๆ หรือ อารมณ์ที่ถูกรู้ หรือ สภาวะใด ๆ ที่ถูกรู้ เช่น ความเงียบ สงบ สงัด นิ่ง เฉย ว่างเปล่า เป็นต้น
***** ให้ใส่ใจปล่อยวาง “ผู้รู้” ทุกปัจจุบันขณะ
***** เมื่อใส่ใจปล่อยวางแต่ผู้รู้ ก็จะพบเห็นผู้รู้
ถ้าไม่ใส่ใจปล่อยวางผู้รู้ ก็จะไม่พบเห็นผู้รู้ เพราะจะมัวแต่ไปใส่ใจให้ค่า ให้ความสำคัญ ยึดถือแต่สิ่งที่ถูกรู้ สภาวะที่ถูกรู้ หรือ อารมณ์ที่ถูกรู้ จะหลงเพลินใจสบายใจ ทุกข์ใจ เครียด วิตกกังวล ท้อแท้ ซึมเศร้า เบื่อ เซ็ง กลุ้ม
ไม่ว่าจะมีอาการนิ่ง เฉย เงียบ สงบ สงัด ว่างเปล่าเพียงใด ผู้รู้อารมณ์หรือสภาวธรรมในปัจจุบันขณะทุกปัจจุบันขณะ จะต้องคิดตรึกตรองปรุงแต่งเหมือนคนบ้าพูดบ่นอยู่คนเดียวในใจ มีความดิ้นรน สงสัย หงุดหงิด รำคาญ เบื่อ เซ็ง กลุ้ม มีความอยาก ไม่อยากอยู่คนเดียวในใจตลอดเวลา ๆๆๆ……….
***** ให้ปล่อยวางทั้ง “ผู้รู้” และ สิ่งที่ถูกรู้ สภาวธรรมที่ถูกรู้ หรือ อารมณ์ที่ถูกรู้ทั้งหมด
ปล่อยวางทั้งผู้รู้ที่คิดตรึกตรองปรุงแต่งได้ และ ผู้รู้ที่ไม่คิดตรึกตรองปรุงแต่ง โดยไม่หลงยึดมั่นว่าเรา
เป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา หรือ เป็นจิตใจซึ่งเป็นผู้รู้เป็นของเรา
***** พระนิพพานไม่ใช่ผู้รู้ พระนิพพานเหนือผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย (หลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565