ผู้ถาม : วันนี้หลวงตาเมตตาชี้แนะความเข้าใจผิดที่ติดอยู่เป็นตอนท้าย ๆ ท่านชี้หลายรอบมาก ทั้งส่งธรรมะที่พิมพ์มาให้ ส่งธรรมะในพระไตรปิฎกมาให้ และยังแจกแจงรายละเอียดช่วงเทศน์เช้าอีก เราก็พยายามอ่านพยายามตามในธรรมที่ท่านชี้มา แต่มันได้แต่เฉียด ๆ เฉียด ๆ แต่ไม่โดนอวิชชาจัง ๆ สักที
เราจะเลิกปล่อยตัวปล่อยใจตามความเข้าใจได้แค่ไหนแค่นั้นแล้ว เพราะเราเหนื่อยและหลวงตาก็เหนื่อย แต่ท่านก็ไม่หยุดกระทุ้ง สุดท้ายท่านก็ส่งมาว่า “ธรรมของอริยะไม่ว่านักบวชหรือฆราวาส คือ อยู่กับรู้” คือรู้ว่าสิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น จึงไม่มีกิเลสตัณหา ไม่กังวล พ้นทุกข์ (นิพพาน) ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพชาติหน้าใหม่ไม่มี และท่านบอกว่า “หนังสือเล่มนี้ของหมอ มันต้องมีตอนจบนะ มันเป็นเรื่องของใจแท้ ๆ ไม่เกี่ยวกับตัวเราหรือกับใคร ๆ เลย หยุดสนิท จบสนิท ดับสนิทในปัจจุบัน”
เราหยุดนิ่งจากความพยายามเดินหน้าและรั้งไว้ไม่ให้ถอยหลังกลับ หยุดไม่ทำอะไรก่อนแล้วพิจารณาธรรมที่ขีดเส้นใต้ แล้วเราก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ คือ ความพ้นทุกข์มันเป็นเรื่องของใจ ใจล้วน ๆ ใจอย่างเดียว เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ เอโกธัมโม นั่นหมายความว่า ไม่สามารถเอาสิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่ใจ (รวมถึงตัวเราแม้ปรมาณูหนึ่ง) มาเป็นใจ หรืออยู่กับใจ เพื่อให้สิ่งนั้นพ้นทุกข์ด้วยเพราะใจไม่อาจเป็นเนื้อเดียวกับสิ่งนั้น มันเป็นธรรมชาติคนละอย่าง จะมารวมกันเพื่อให้ตัวเราพ้นทุกข์มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะสิ่งที่พ้นทุกข์มีเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่อาจมีสิ่งใดปลอมปน ส่วนที่ไม่ใช่ใจก็ต้องเห็นตามจริง รับความจริงว่า มันต้องทุกข์ทั้งหมด แบบที่จะไปช่วยเหลือมันโดยวิธีใด ๆ ก็ตามไม่สำเร็จจริง ๆ เพราะธรรมชาติมันเป็นของที่เป็นทุกข์
มันใช้เวลาพิจารณาสักพักหนึ่งมันก็ลงแก่ใจ ไม่มีทางรอดอื่นแก่ตนเอง มันจึงปล่อยตัวเองให้คืนสู่ธรรมชาติแห่งความทุกข์ ส่วนธาตุรู้หรือนิพพานธาตุมันมีอยู่เดิม ไม่ต้องคืน ไม่ต้องสร้าง มันพ้นทุกข์และสงบอยู่แล้วในตัวมัน สุดท้ายเราพิมพ์บอกหลวงตา ท่านบอกว่า “หายเหนื่อยแล้ว” เราดีใจที่ได้ตอบแทนท่านเสียทีหลังจากเป็นภาระที่เกาะแข้งเกาะขาท่านมาเนิ่นนาน และรู้สึก “โล่งใจ” กับตัวเองอย่างบอกไม่ถูกว่า ในที่สุดก็ยอมรับให้ตัวเองทุกข์ ให้ตัวเองตายจริง ๆ ได้สักที ไม่ต้องไปทำอะไร รู้ละปล่อยวางอะไรเพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์อีก ก็หมดภาระไม่ต้องทำแล้ว
หลังจากนั้น ก็อธิบายธรรมได้ลงที่ใจในหลาย ๆ อย่าง เข้าใจว่า
ถ้าเมื่อใด มีความปรุงแต่งว่าเป็นตัวเองขึ้นมา >> อนุสัย และ หลงว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ >> อวิชชา
มันจะหลงตามความปรุงแต่งออกไปว่าตัวเองสุขตัวเองทุกข์จริง ๆ แล้วก็วิ่งส่งจิตออกนอกเพื่อไปแสวงหาความพ้นทุกข์ เพราะเราคิดว่าความพ้นทุกข์หรือนิพพานนั้น มันอยู่ตรงโน้น..โน้น...นู้น… ออกไปไกลเลย ข้ามห้อง ข้ามโรงพยาบาลจุฬาฯ ข้ามสวนลุม ออกไปข้ามเจ้าพระยาไปจนถึงฝั่งบางกระเจ้าโน้น จนสักพักเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่ใช่ละ เริ่มทุกข์มากกว่าเดิม มันก็ถอยกลับมาจากบางกระเจ้า ก็ต้องข้ามแม่น้ำ ข้ามสวน ข้ามตึก ข้ามผนังห้องกลับคืน และสุดท้ายเราก็ค้นพบว่า ความพ้นทุกข์หรือนิพพานนั้นมันอยู่ที่ริมตาของเราเอง ต่อให้จะมองออกไปส่งออกไปไกลแค่ไหน แต่ริมตามันไม่ได้เคลื่อนไหว มันได้แค่รู้แต่ไม่ได้แล่นออกไปด้วย มันก็แค่รับรู้การมองเห็นอย่างเงียบ ๆ เท่านั้นเอง
แล้วหลังจากเราให้ยาเคโมเสร็จก็ไปอาบน้ำและทำพลังลมปราณ แล้วมันก็เข้าใจไปเองเลยว่าสิ่งที่เป็นบารมีภายในมันจะเชื่อมต่อกับพลังงานภายนอกได้นั้น มันต้องเป็น ‘ใจ’ เดียวกัน เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันและอธิษฐานบทเชื่อมพลัง มันจะมีพลังงานจากภายในพุ่งออกไปภายนอกจริง ๆ เป็นความเย็น ความสงบเยือกเย็นแผ่ออกไปไกลมาก ๆ
และเมื่อเราท่องบทปรับธาตุขันธ์ มันจะกลับกันคือ เป็นพลังงานจากภายนอกไหลเข้ามาแทน เราเห็นพื้นห้องน้ำกลายเป็นดินหมด และมีก้อนดินเล็ก ๆ สั่นสะเทือนและไหลเข้ามาที่ขาของเรา มันไต่ขึ้นมาและเข้าแทนที่ธาตุเดิมของเราเองและพอเราอธิษฐานใหม่ บทคุ้มครองจะกลายเป็นพลังงานจากข้างในกระจายออกไปภายนอกแต่หยุดเสียก่อนถึงจักรวาลและกลายเป็นสิ่งที่เป็นวงหุ้มเป็นเกราะป้องกันภัยและสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดที่จะเข้าสู่ธาตุขันธ์นี่เอง เรานับถือพ่อแม่ครูอาจารย์มาก ท่านให้อธิษฐานตามนี้ พลังงานมันก็เปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ตามบทที่เราท่องนั่นเองจริง ๆ สามบทนี้ก็ครบถ้วนและสมบูรณ์ในการคุ้มครองและต่ออายุขันธ์อยู่แล้วถ้าไม่ตายตัดรอนไปก่อน
หลวงตา : ในปัจจุบันขณะรู้ด้วยใจ หรือ เห็นด้วยใจ (“ใจ” ที่สิ้นอวิชชา สามารถรู้แจ้งความจริงแท้ของสัจธรรมได้ เพราะเป็นคุณสมบัติของธาตุรู้ที่บริสุทธิ์) ว่า… “ธรรมชาติจริงแท้ (สัจธรรม) มีแต่ความคิดปรุงแต่ง (จิตตสังขาร) เกิดเอง
ดับเองในใจที่เป็นธรรมชาติไม่มีอะไรปรากฏการเกิดดับ (วิสังขารธรรม หรือ อสังขตธรรม) โดย…..
ไม่มีตัวตนของเราในสังขาร และ ในวิสังขาร
ไม่มีตัวเราเป็นผู้เข้าไปดูรู้เห็นสังขารเกิดดับในใจ
ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏการเกิดดับ
แต่แม้ไม่มีผู้เข้าไปดูสังขารเกิดดับในใจ แต่ใจซึ่งเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ เป็นผู้เห็นสังขารความคิด ความปรุงแต่งเกิดเอง ดับเองในใจที่ไม่ปรากฏอาการเกิด โดยไม่มีอัตตาตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเราในสังขารธรรม และ วิสังขารธรรมเลย และ
ไม่มีตัวเราหลงยึดมั่นสังขารธรรม และ วิสังขารธรรมมาเป็นของเรา
***** ดังนั้น ถ้าหลงยึดมั่นเป็นอัตตาตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเราที่เที่ยงคงที่
เช่น หลงว่าตัวเราทุกข์ ตัวเราจะตาย ตัวเราจะนิพพาน ตัวเราจะต้องบวชเมื่อนิพพาน หรือ ตัวเราจะไม่บวช มันเป็นความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ อวิชชา)
คงมีแต่ธาตุแตก ขันธ์ดับเท่านั้น ไม่มีใครตาย
คำว่าตายเป็นเพียงสมมติเรียกธาตุแตก ขันธ์ดับ
ส่วน “ธาตุรู้บริสุทธิ์” เป็นธาตุอมตะ เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงไม่ดับไปเหมือนขันธ์ห้า
ทุกปัจจุบันขณะ รู้แก่ใจว่า…มีแต่จิตตสังขารเกิดเอง ดับเองตลอดเวลา และ รู้แก่ใจว่า……….
***** ไม่มีตัวตนของเราในสังขารและวิสังขาร (ไม่เกิดดับ)
***** ไม่มีเรา หรือ ตัวเราเป็นผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็นสังขารเกิดดับ
***** ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารที่เกิดดับ และ วิสังขาร (ไม่เกิดดับ) มาเป็นของเรา
***** ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่นว่า เราทุกข์ หรือ เราเป็นผู้รู้แจ้ง เราพ้นทุกข์ (นิพพาน) แล้ว
***** ธรรมของอริยะ ***** ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือฆราวาส “อยู่กับรู้”
คือ รู้แก่ใจว่า….สิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น จึงไม่มีกิเลส ตัณหา
ไม่กังวล พ้นทุกข์ (นิพพาน) ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ภพชาติหน้าใหม่ไม่มี
มันเป็นเรื่องของใจแท้ ๆ ไม่เกี่ยวกับตัวเราหรือกับใคร ๆ เลย
หนังสือเล่มนี้ของหมอต้องมีตอนจบ นะ
***** หยุดสนิท จบสนิท ดับสนิทในปัจจุบัน *****
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ หลวงตา ใจเดิม เขามีคุณสมบัติ ที่ จบกับทุก ๆ สิ่งอยู่แล้ว และรู้ทุกสิ่ง และจบกับทุกสิ่งที่รู้ด้วย
ดังนั้น ถ้าจะจบในปัจจุบันจริง ๆ มันได้แค่อย่างเดียว คือ เป็นใจนั้น โดยไม่มีตัวเราไปเป็น
แต่ตัวเราต้องยอมรับความจริงนี้ด้วยใจว่า มันมีแค่หนึ่งเดียวที่ไม่มีอะไร ดังนั้นจะเอาตัวเราไปอยู่กับมันไม่ได้ เพราะทันทีที่ตัวเราเข้าไปแตะ ไปรวม ไปยึด ไปครอบครอง
มันจะไม่ใช่ "หนึ่ง" แต่จะกลายเป็นสองในทันทีเลยเจ้าค่ะ ซึ่งมันทำไม่ได้อยู่แล้วในชีวิตจริงเพราะมันเป็นธรรมชาติคนละประเภทกันเลยเจ้าค่ะ
คือ มันต้อง "จบที่ใจ" ไม่ใช่ "จบที่เราบรรลุธรรม"
เพราะ "ใจ" ต่างหากที่นิพพาน
ไม่ใช่ตัวเราที่นิพพาน
ใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา
สิ่งที่เข้าใจผิดมาตลอด คือ มีเรานิพพาน แต่จริง ๆ คือ ใจที่ไม่ใช่เรานั้นต่างหากที่เขานิพพาน (พ้นทุกข์) อยู่แล้วในทุกขณะปัจจุบันต่างหาก
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
เฮ้อ… หายเหนื่อยเสียที
อย่าหลงๆๆๆๆ… อีกล่ะ!!!
ให้รู้จริง เห็นจริง เป็นจริง (ธรรมเป็นใจ ใจเป็นธรรม) โดยถาวรสิ้นเชิงตลอดไป
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2565