ประสบการณ์วันจริงของคุณหมอจุ๋งจิ๋ง ที่ตายก่อนตายครั้งที่ 3
ผู้ถาม : ไม่รู้ว่าเพราะธรรมภายในมันจบเล่มหรือเปล่า วันนี้เลยพบกับประสบการณ์ของความตายอีกครั้งหนึ่ง (นับเป็นสามครั้งใหญ่แล้วเจ้าค่ะ) คือ วันนี้มีอาเจียนและท้องเสียหนักมาก น่าจะเป็นจากอาหารเป็นพิษ แล้วธาตุขันธ์ทุกอย่างมันปั่นป่วน รวมถึงความคิดอารมณ์ สังขารที่มันขึ้นมา สารพัดที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่รู้ว่ามันปรากฏเช่นนี้ เช่นเดียวกับตอนที่ติดเชื้อจนต้องไปผ่าตัด และผ่านความตายในรอบก่อน รอบนี้มันสงบ แค่รู้สรรพสิ่งที่เป็นไป ร่างกายก็อ่อนเพลียสุด ๆ จนจะไม่ไหวแล้ว แล้วมันก็คิดขึ้นมานิดหนึ่งว่า "ครั้งนี้หรือเปล่านะ" หมายถึง มันจะเป็นครั้งที่ลูกรู้สึกว่าเมื่อหลับตาลง จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
มองหน้าแม่ที่กำลังตกใจและพยายามบอกให้ไปโรงพยาบาล แต่ลูกไม่ยอมไป เพราะอยากจะหลับมากกว่า ชั่งใจว่าจะบอกแม่ดีไหมว่าครั้งนี้อาจจะไม่ตื่นแล้ว แต่ภายในมันตอบตัวเองว่า "ช่างเถอะ ก็ต้องตายทุกคน ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามนั้น ตายก็ตาย" ลูกรู้ว่ามันสงบและไม่ได้ห่วงใครทั้งนั้น
แล้วมันก็นอน และเมื่อหลับตาลงก็พบหลวงตาในความตายเจ้าค่ะ เหมือนลูกอยู่ในอวกาศสีดำ ที่เต็มไปด้วยสายรุ้ง แสง และแสงสีต่าง ๆ เหมือนฟ้าแลบฟ้าผ่าอยู่ตลอดเวลา และองค์หลวงตายืนมองอวกาศนั้นเงียบ ๆ ท่ามกลางแสงสีที่ฟาดฟันลงมา
ลูกงง ๆ เลยถามขึ้นมาว่า "ที่นี่ที่ไหน?" หลวงตาได้เมตตาคำสอนสุดท้ายแก่ลูก บอกว่า "สักแต่ว่ารู้" แล้วห้วงอวกาศนั่นก็หายไป ปรากฏแต่ธรรมอันเป็นสังขารปรุงแต่ง ไม่มีความคิดเรื่องโลกเลยเจ้าค่ะ มีแต่ธรรมล้วน ๆ ซึ่งธรรมเหล่านั้นมันปรากฏมาให้รู้ แล้วก็หายไป รู้แล้วก็หายไปเจ้าค่ะ แต่เวลาที่มันหายไปแล้วปรากฏใหม่ เหมือนมันเบาลงและค่อย ๆ ห่างออกไป และท้ายสุดคือดับสนิทเจ้าค่ะ
แล้วลูกก็ยังได้ตื่นมาในร่างเดิมอยู่เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
ไม่มีใครไปทำอะไรนั่นเองเป็นธรรมชาติที่สงบเย็นที่สุดแล้วเจ้าค่ะ วันนี้มานอนโรงพยาบาล เพื่อรับยาเคโมเจ้าค่ะ พอคิดพิจารณาแค่ว่าทุกครั้งที่มาโรงพยาบาลไม่รู้จะได้กลับออกไปหรือเปล่า ใจที่มันไปจับ ไปทำอะไร ๆ อยู่ มันหายวับไปเลยเจ้าค่ะ เลยเห็นว่า ทุกอย่างมันก็เป็นแค่สิ่งที่ไหลไปตามธรรมชาติเท่านั้น เหมือนมันไม่อยากรู้ ไม่ได้อยากเข้าใจอะไรเลย จะร้องไห้อย่างเดียวเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ในตัวเรา (ขันธ์ห้า) มีทั้งธรรมชาติปรุงแต่ง (สังขาร) เกิดดับ และ ธรรมชาติเดิมแท้ (“ใจ” วิสังขาร อสังขตธรรม) เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่เกิดดับ
***** “สังขาร” ทั้งรูป นาม รวมทั้งผู้รู้ ไม่มีตัวตน เป็นก้อน เป็นแก่นแม้เพียงสักน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง หรือ ปรมาณูหนึ่งที่คงที่ไม่เกิดดับ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
***** ส่วน “วิสังขาร หรือ ใจ” เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่มีตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ดังนั้น ทั้ง “สังขาร และ วิสังขาร หรือ ใจ” จึงเป็น “อนัตตา” ไม่ใช่อัตตาตัวตนเป็นเรา ตัวเรา ของเรา
สังขารทุกปัจจุบันขณะ เป็นธรรมชาติเกิดดับในธรรมชาติไม่เกิดดับ เมื่อเหตุปัจจัยยังมีอยู่ จึงยังมีการเกิดดับของสังขาร เป็นสันตติสืบต่อกันไปได้ แต่สังขารทั้งหมดไม่ยกเว้นผู้ใด เมื่อสิ้นเหตุปัจจัย ก็จะเป็นสันติ (นิพพาน) ขาดการเกิดดับสืบต่อไปอีก
“สังขารกรรม” ในปฏิจจสมุปบาท มี “อวิชชา” เป็นเหตุปัจจัย ให้สังขารกรรมเกิดดับสืบต่อกันเป็นสันตติ
ต่อเมื่อสิ้น “อวิชชา” หรือ อวิชชาดับ สังขารกรรมก็ดับ สังขารกรรมดับ วิญญาณกรรมก็ดับ …และดับต่อ ๆ กันไป เป็นสันติ เรียกว่า “สอุปาทิเสสนิพพาน”
แต่ขันธ์ห้า ยังไม่แตกดับ จนกว่าสิ้นเหตุปัจจัยที่จะให้ขันธ์ห้าเกิดดับสืบกันต่อไปได้อีก ขันธ์ห้าก็ดับ เรียกว่า “อนุปาทิเสสนิพพาน)
ดังนั้น พระอรหันต์ (เป็นพระอรหันต์ที่ใจ) จึงดับขาด (สันติ หรือ นิพพาน) สองครั้ง คือ
ครั้งแรก อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทานดับขาด
ครั้งที่สอง ขันธ์ดับขาด
***** ดังนั้น จึงไม่มีตัวเราตาย เพราะไม่มีตัวเราหรือของเรามาตั้งแต่แรกแล้ว
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565