ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา รอบนี้นับว่าปรับตัวได้มากกว่ารอบที่แล้วเจ้าค่ะ และเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไรมากขึ้นแล้ว
เหมือนจริงๆ พลังงานจากเคมีบำบัด เป็นพลังงานระดับสูงมาก เหมือนมันเข้าไปทำปฏิกิริยากับเซลล์ เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่ยิงไปตูมนึง เซลล์มะเร็งถูกทำลายจริง แต่มันก็ปล่อยพลังงานความร้อนส่วนเกินออกมาจากปฏิกิริยานี้เช่นเดียวกัน
ซึ่งถ้าเป็นแบบเคโมรอบที่แล้ว มันมีตัวตนออกรับ มันก็คือมีตัวไปจับพลังงานมหาศาลนี้ จับเอาไว้ในตัวเอง เป็นความเจ็บปวดแก่ธาตุขันธ์เกินรับไหว ช่วยตัวเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยน้ำมนต์หลวงตาช่วย กับเสียงธรรมหลวงตา ต้องเสียบหูแทบตลอดเวลาถึงรอดมาได้
แต่รอบนี้ มันเหมือนกับ พลังงานทุกอย่างผ่านมาผ่านไปเจ้าค่ะ พลังความร้อนในกายก็มีวูบๆ ไปมาเป็นบางช่วง แต่ถ้าไม่มีตัวไปจับ สิ่งเหล่านี้มันจะถูกสลายโดยธรรมชาติ และไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานธรรมชาติบริสุทธิ์ภายนอกเอง
ภายในถ่ายเทสู่ภายนอก ภายนอกถ่ายเทสู่ภายใน มันก็ผ่านไปได้ตามธรรมชาติ โดยไม่มีใครไปขวาง ไม่มีผู้จับ มันก็ไม่มีผู้ทุกข์เจ้าค่ะ มีแต่ความอ่อนเพลียบ้าง แต่ไม่มีความเจ็บปวด และรับรู้ความเคลื่อนไหวของพลังงานต่างๆ รวมทั้งความเคลื่อนไหวของจิตสังขารเป็นอัตโนมัติของมันเอง
ไม่มีตัวเราไปจับอะไรหรือไปทำอะไร มันก็รู้
รู้ว่าทุกสิ่งผ่านมาผ่านไป มันก็รู้
รู้ว่าไม่ทุกข์จากสิ่งที่ผ่านมาผ่านไป มันก็รู้
รู้ว่าอ่อนเพลีย ธาตุขันธ์ต้องหลับไปชั่วคราว มันก็ดับไปเฉยๆ ไม่มีความคิด ความปรุงแต่งใดเลย แล้วก็ตื่นขึ้นมาเอง พอตื่น มันก็รู้ว่าตื่น มันรู้เองหมดเลย
เหมือนไม่มีกาลเวลาเลยเจ้าค่ะ หลวงตา
แต่มีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าตอนธาตุขันธ์ดับไป คือ ตายจริง แล้วเป็นเช่นนี้ มันก็เหมือนกับว่ามันดับไปเฉยๆ เหมือนตอนหลับ
ต่างกันแค่ว่า มันดับแบบไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา แต่ก็มีเสียงตอบขึ้นมาว่า “ถึงเวลาก็รู้เอง” เจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตาเจ้าขา ไอ้ที่มันรู้ๆ หมดเลย นี่มันก็คือยึดรู้ ใช่ไหมเจ้าคะ มันยึดเป็นตัวมันเลย ใช่ไหมเจ้าคะ
พอรู้ทัน ที่รู้ว่าทุกสิ่งผ่านมาผ่านไป รู้นั้นมันก็หายไปแล้ว มันไม่มีแล้วเจ้าค่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ยึด มันก็ยึดไม่ได้สิเจ้าคะ
ตรงที่ละเอียด มันยอกย้อนไปมาจริงๆ เจ้าค่ะ ลูกต้องขอความเมตตาหลวงตา ถามให้ชัดเจน
อายครู ไม่รู้วิชา เจ้าค่ะ หลวงตา
หลวงตา : ธรรมชาติ <> ทุกสรรพสิ่งรวมทั้งความคิดปรุงแต่งรู้สึกเป็นตัวเรา ของเรา ย่อมเคลื่อนไหวเกิดดับในความว่าง
“ใจหรือจิตเดิมแท้ (สิ้นอวิชชา)” เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีอะไรปรากฏ มันรวมอยู่กับความว่างของธรรมชาติ มันหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถรู้แจ้งสัจธรรมความจริงของธรรมชาติ โดยมิได้มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) ยึดมั่นธรรมชาติทั้งสังขารและวิสังขารว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
ดังนั้น ทุกปัจจุบันขณะจะมีจิตสังขารที่เป็นจิตกุศล อกุศล เป็นอาการที่ถูกใจ ไม่ถูกใจ เป็นความรู้สึกเป็นสุข ทุกข์ ผ่องใส เศร้าหมองอย่างใดๆ แม้แต่ความคิดปรุงแต่งมีความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา ของเรา ก็เกิดดับในความว่าง หาได้มีอัตตาตัวตน เป็นตัวเรา ของเราที่เที่ยงแท้คงที่อยู่ในความว่างจริงๆ ได้ไม่
ซึ่ง “สัจธรรม” ความจริงของธรรมชาติ หาได้มีอะไรค้างคาอยู่ในความว่างได้ เป็นเพียงแต่ความหลงผิด หรือ ความคิดเห็นที่ผิดไปจากสัจธรรมความจริงของธรรมชาติเท่านั้น
เมื่อสิ้น “อวิชชา” หรือ สิ้นหลงยึดมั่นเป็นอัตตาตัวตนมาขวางความว่างของธรรมชาติแล้ว พลังจิตที่บริสุทธิ์และพลังธรรมชาติที่บริสุทธิ์จากภายในและภายนอกก็รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันโดยอัตโนมัติ เพราะไม่มีกำแพงอวิชชามาขวางกันธรรมชาติภายในตัวเรา กับธรรมชาติภายนอกออกจากกัน หรือ ไม่มีอวิชชาหลงแบ่งแยกความเป็นตัวเรา ของเราให้แตกต่างออกจากธรรมชาติ
เมื่อสิ้น “อวิชชา” จะมีผลทำให้ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ และ ธาตุรู้ ซึ่งรวมเป็นขันธ์ห้าจะเป็นความบริสุทธิ์ไปเสียทั้งหมด และ มีผลทำให้ธาตุทุกธาตุ ขันธ์ทุกขันธ์ สสาร พลังงาน ความว่าง ธาตุรู้ พลังจิตบริสุทธิ์ พลังธรรมชาติบริสุทธิ์ จากพระเมตตาอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ จากพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พุทธานุภาเวนะ ธรรมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ พุทธะบารมี ธรรมมะบารมี สังฆะบารมี และบุญบารมีที่เราได้กระทำมาแล้วทั้งหมดรวมเป็นธรรมชาติที่สมดุลย์โดยอัตโนมัติตลอดเวลา
หลังจากนั้น ธรรมย่อมคุ้มครองผู้เป็นธรรมเอง จะแพ้เฉพาะกรรมหนักมาตัดรอนเท่านั้น
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา หลวงตาตอบชี้แนะได้ชัดเจนยิ่งนักจริงๆ
สรรพสิ่งที่เป็นความปรุงแต่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก นอกจากจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ในคุณสมบัติของไตรลักษณ์ของสังขารแล้ว
มันยังมีความจริงอีกสิ่งหนึ่ง คือ สังขารทั้งหมดเหล่านั้น ไม่อาจหยั่งถึง ธรรมชาติอันที่เป็นที่เกิดที่ดับของมัน เพราะธรรมชาตินี้ มันมีอยู่ แต่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ปราศจากคำอธิบายและนิยามใดๆ ให้อ้างถึง
ดังนั้นสรรพสิ่งจึงไม่อาจหยั่งถึงมันได้ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ตัวตน พลังงาน หรือสิ่งใดๆ
หมดคำถาม ปุจฉา-วิสัจฉนา ของวันนี้แล้วเจ้าค่ะ หลวงตา
กราบขอบพระคุณความเมตตาของครูบาอาจารย์อย่างสูงเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564