ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
วันนี้กายสังขาร กำลังอ่อนลงชัดเจนเจ้าค่ะ ตัวเรามันเหมือนกับมันอ่อนแรงไปด้วย กลั้นหายใจก็ไม่ไหว ได้แค่ช่วงสั้นๆ
แต่ก็อธิษฐานพลังลมปราณต่อเนื่อง โดยไม่ได้พยายามจะกลั้นลมอะไรอีกแล้ว เท่าที่ได้ตามธรรมชาติช่วงนี้มันเป็นอย่างไรก็คือเป็นอย่างนั้น
แต่น่าแปลกมากเจ้าค่ะ ตอนหมดแรงจะทำได้แค่ท่องบทอย่างเดียว ที่เหลือคือปล่อยหมด แต่กลับเชื่อมพลังได้ มีพลังไหลท่วมท้นมาเวียนทั่วร่างกายไปหมด มาตั้งแต่เริ่มท่อง เป็นพลังเย็นที่ฉาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยเจ้าค่ะ
เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นพลังถึงได้บ่ามาขนาดนี้ แต่มันไหลมาไหลไป ไม่มีตัวจับพลังเลย เพราะตัวนั้นหมดแรง ตายไปแล้วเจ้าค่ะ
ลูกยังงงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แต่นับว่าทนยาได้ดีกว่ารอบแรกมาก ไม่ทรมานเท่าเก่าแล้วเจ้าค่ะ เหมือนสภาวะทุกอย่าง ผ่านมาผ่านไป เวทนาก็ผ่านมาผ่านไป ความคิด อารมณ์ก็ผ่านมาผ่านไป
ค่ามะเร็งในเลือด ก็ลดลงอย่างชัดเจน จากเริ่มต้น 1400 ลดเหลือ 600 หลังผ่าตัด ตอนนี้ผ่านไปไม่ถึงเดือน ลดเหลือ 288 แล้วเจ้าค่ะ นับว่าตอบสนองกับการรักษาไวมากเจ้าค่ะ
หลวงตา : ขณะจิตที่ยึดถือเป็น “อัตตา” ตัวตนเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ช่วยเหลือคนอื่น จะมีผลทำให้ธาตุขันธ์ตายแตกดับเร็วมากๆ เพราะจิตหรือใจไม่ว่างจากมีอัตตาตัวตนไปกั้นขวางพลังจิตบริสุทธิ์ พลังธรรมชาติบริสุทธิ์
แต่ถ้าขณะจิตหรือใจเป็น “วิมุตติ” ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่หลงสมมติ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่หลงยึดมั่นขันธ์ห้า หรือ ยึดมั่นจิตหรือใจว่าเป็นตัวตน เป็นตัวเรา ของเรา จะไม่มีโลกนี้โลกหน้า ไม่มีความมืด ความสว่าง ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีผ่องใสเศร้าหมอง ไม่มีกิริยาอาการ ไม่มีอาการเกิดดับ ไม่มีการไหวติง
ขณะจิตนั้น เป็นจิตหรือใจ “เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์โดยธรรมชาติ” เป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของธรรมชาติ จะเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานธรรมชาติบริสุทธิ์ และ พลังจิตบริสุทธิ์ที่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์มีเมตตาอัปปมัญญาออกมาจากจิตหรือใจที่ว่างเปล่าบริสุทธิ์ และ พลังจิตบริสุทธิ์และพลังธรรมชาติบริสุทธิ์ จะรวมอยู่ในความว่างของจักรวาลอันหาขอบเขตมิได้
เมื่ออธิษฐานจิต จึงเชื่อมได้สมบูรณ์เป็นหนึ่งเดียวกับพลังจิตบริสุทธิ์ พลังธรรมชาติบริสุทธิ์ ในจิตหรือใจบริสุทธิ์ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ ที่รวมกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศของธรรมชาติ รวมเป็นขันธ์ห้าสมมติ มีผลทำให้ธาตุทุกธาตุ ขันธ์ทุกขันธ์ สสาร พลังงานรวมทั้งพลังจิตบริสุทธิ์ พลังธรรมชาติบริสุทธิ์ และ ความว่าง สมดุลย์เป็นปกติธรรมชาติโดยอัตโนมัติตลอดเวลาตราบเท่าที่สิ้นอัตตาตัวตน
ถ้าสิ้นอัตตาตัวตน จะแพ้แค่เพียงบาปกรรมหนักมาตัดรอนขันธ์ห้าเท่านั้น แต่ทำอะไรจิตหรือใจบริสุทธิ์ ซึ่งรวมกับความว่างของธรรมชาติไม่ได้
ผู้ถาม : จริงๆ แล้ว ตัวขันธ์ห้ายังทำงานอยู่ แบบผ่านมาผ่านไป ทะลุหมด เหมือนพลังงานบริสุทธิ์ภายนอก
ภายนอกภายใน จึงเป็นสิ่งเดียวกัน คือเชื่อมพลังงานได้สมบูรณ์ ใช่ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว
ผู้ถาม : แล้วตัวที่รู้สึกว่าตัวนั้นตาย เดิมทีลูกเข้าใจว่าตัวนั้นคือ ขันธ์ห้าที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา ของเรา
แต่มันคงไม่ใช่ขันธ์ห้า ใช่ไหมเจ้าคะ แล้วมันคือตัวไหน แล้วทำไมพอขันธ์ห้าหมดกำลัง ตัวนั้นมันถึงตายชั่วคราวไปได้เจ้าคะ
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย แต่เหมือนมันเชื่อมกับขันธ์ พอขันธ์หมดแรง ตัวในกลับหมดแรงกระทำไปด้วย?
หลวงตา : ตัวที่ตายไปชั่วคราวนั้น คือ จิต “อวิชชา” ที่ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงหลงยึดมั่นเป็นเป็นตัวตนเป็นขณะจิต
ผู้ถาม : อย่างนี้มันก็คือ ปฏิบัติใดๆ ไม่ได้เลยนะเจ้าคะ หลวงตา เพราะต่อให้เห็นความจริงเท่าไหร่ ในภาคปฏิบัติของลูก ตัวนั้นมันไม่ดับได้เลย แต่ต้องรอธาตุขันธ์ใกล้ตายก่อน ถึงจะพบกับการดับของตัวนี้ โดยที่จะห้ามไม่ให้ดับก็ไม่ได้
อย่างนี้ก็เท่ากับว่า มันเป็นเอง ตามแต่วาระของมันเอง เร่งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ เมื่อดับแล้ว จึงรู้ว่า ไม่มีอะไรเลย
แต่ที่บังคับไม่ได้ คือ บังคับให้มันดับก็ไม่ได้ เจ้าค่ะ
แล้วจะบอก หรือรักษาให้มันดับแบบนี้ตลอดไป มันก็รักษาไม่ได้อีก เพราะเหมือนตัวที่รักษามันไม่มี มันเลยรักษาไม่ได้ ดำเนินไปของมันเองจริงๆ
หลวงตา : ขณะจิตที่เราหมดแรงจริงจากพิษของเคโม และ โรคมะเร็งร้ายแรง จึงรู้สึกว่าตัวตน ตัวเราจะถึงแก่ความตายแล้วจริงๆ
ซึ่งไม่เหมือนกับการพิจารณาความตายหลอกตอนยังไม่เจ็บป่วยหนัก จะไม่รู้สึกว่า “ตัวเรา(อวิชชา)” จะตายจริงๆ
ผู้ถาม : อ๋อ คือนิมิตความตายและความดับ มันไม่ถึงใจ ไม่รู้สึกว่าจริง ใช่ไหมเจ้าคะ
แต่สำหรับพระผู้มีอุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต มันจะถึงใจ สมจริงจนปล่อยวางได้ เสมือนกับเผชิญกับความตายจริงๆ เช่นกัน
หลวงตา : พ่อแม่ครูอาจารย์จึงกล่าวว่า โอกาสนี้ เป็น “โอกาสทอง” ที่จะรู้สึกได้ชัดเจนถึงใจในสัจธรรมความจริง อย่าให้พลาดเป็นอันขาด
ผู้ถาม : สาธุ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
นี่ยังเสียดายอยู่ ว่าทำไมไม่เรียนวิชาพิจารณากายให้แตกฉานเป็นจริงได้มากกว่านี้ พอถึงภาคปฏิบัติเลยไม่สามารถทำได้จริง
เรียนมาแต่ วิชาจิตรู้จิตเห็นที่ใช้ดูอวิชชา ดูรังสีจิต ใช้สอนคนอื่นเป็นหลักเลย แต่ลูกว่าลูกจะกลับไปเรียนอะไรตอนนี้ ไม่ทันแล้วเจ้าค่ะ ได้แต่ใช้โอกาสทองนี้อย่างเดียวจริงๆ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564