ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาค่ะ ขอโอกาสค่ะ
โยมฝันเห็นหลวงตา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกตรงกับวันพระ ฝันว่าหลวงตามาที่บ้าน
ครั้งสองฝันว่าไปวัด โยมถามคำถามคนที่มาวัด แต่หลวงตากลับเป็นคนตอบเองว่า ไอต้องถามตัวเอง ไม่ใช่ไปถามคนอื่น หลวงตาพูดเข้ามาในหูชัดมาก ก็เลยสะดุ้งตื่น ตื่นมาก็งงๆ ว่าหลวงตารู้จักชื่อเราได้ยังไง
อีกครั้งไม่ได้ฝัน แต่เป็นตอนที่ส่งการปฏิบัติเดือนมีนา ก่อนครั้งนี้ ตอนที่หลวงตาพิมพ์สาธุกลับมา หลังจากนั้น ทางฝั่งโยมเหมือนสัมผัสได้ถึงพลังความเงียบมากๆ ที่มากระทบชั่วขณะหนึ่ง เหมือนทุกสรรพสิ่งหยุด เคลื่อนไหวไปชั่วขณะหนึ่ง มันเป็นพลังที่เงียบมากๆๆๆ เงียบจนไม่รู้จะสามารถเปรียบเทียบกับสิ่งใดในโลกนี้ได้
แรกเริ่มโยมเป็นคนที่อยากพิจารณากายเอง เพราะเห็นในกายชัด แต่พอปฏิบัติไปเกิดอาการเบื่อ แต่ก็พิจารณากายไป แต่มีคำถามเพิ่มว่าทำไมต้องพิจารณากาย ถามตลอด ทำไมไม่ไปดูจิต เลยถามอยู่นั่นแหละ ถามตัวเองว่าทำไม สักพักใหญ่ๆ
วันนึงพ่อของโยมไม่สบาย โรคคนแก่อายุ 80 ที่มีประจำตัวแล้ว บวกกับโรคใหม่คือ พ่อปัสสาวะมีประมาณเกล็ดเลือด ลิ่มเลือดปนมาด้วย โยมเป็นทุกข์ใจอยู่สามวัน เพราะกลัวการพลัดพราก และความรู้สึกเหมือนใครเอามีดมาปักกลางอก แล้วบิดมีด พอวันที่สาม เริ่มเห็นว่าการยึดร่างกายผู้อื่นมันเป็นเช่นนี้นี่เอง ก็เริ่มถามตัวเองว่า แล้วเรายึดอะไรพ่อ
แล้วมันก็เป็นภาพพ่อผุดขึ้นในใจแล้วเผยให้เห็นอวัยวะภายในของพ่อ กระดูก ในตอนนั้นมันอ๋อขึ้นมา อ๋อที่แท้เรายึดธาตุ 4 ดินน้ำลมไฟของพ่อนี่เอง เรายึดตับปอด หัวใจ ไส้ กระดูกของพ่อนี่เอง ตอนที่ภาพอสุภะพ่อผุดขึ้นในใจ และปัญญาเกิดคิดได้ขึ้นมา
โยมถามตัวเองว่า ถ้าให้เอากระดูก ไส้ อุจจาระพ่อ มานอนกอด มาทาตัวทำได้ไหม คำตอบคือทำไม่ได้ ความทุกข์ในใจที่เหมือนโดนมีดปักกลางอกมันหายไปเลย
ก็เลยโอ้โหคุณประโยชน์ของการพิจารณากาย มันมีคุณประโยชน์มาก ขนาดว่าโยมพิจารณาแบบมั่วมาก กระท่อนกระแท่นยังได้รับประโยชน์จากการพิจารณามาก ไม่ต้องคิดถึงท่านที่พิจารณาจนรู้แจ้งในกายหมดแล้วจะดีขนาดไหน
มีอยู่อันนึงที่หลวงตาเขียนกลับมาว่า ปฏิบัติไปแล้วจะสิ้นสงสัยเอง มันสิ้นสงสัยในแง่ที่ว่า ตัวเองถามตัวเองว่า ทำไมต้องพิจารณากาย คำตอบมันมาเป็นประสบการณ์ตรง ก็เพราะว่ามันไปยึดกายผู้อื่น โดยเฉพาะคนในครอบครัวยิ่งยึดหนัก และมันก็ยึดกายตัวเอง ยังโชคดีที่โยมไม่อยากแต่งงานมีครอบครัว เพราะว่าถ้ายิ่งสนิทมาก ผูกพันมากยิ่งทุกข์มาก เพราะต้องพรัดพลากจากกัน
ปัจจุบันโยมก็เห็นว่าการพิจารณากาย ความตายสำคัญมาก ถ้าเราพิจารณาว่าตัวเราต้องตายคืนไปสู่ธาตุ 4 สรรพสิ่งในโลกใบนี้ก็ต้องตาย คืนสู่ธาตุ 4 ด้วยเช่นกัน
โยมยังไม่รู้ว่าที่สุดของการพิจารณากายคืออะไร เพราะยังปฏิบัติไปไม่ถึงจุดนั้น ปัจจุบันพ่อดีขึ้นแล้ว กินยาตามหมอให้มาและไปตรวจตามนัด
กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอให้ธาตุขันธ์หลวงตาแข็งแรงค่ะ
ก่อนนี้ผ่านมา มันมั่วตรงที่ว่าพิจารณากาย แต่เสียดายจิต กังวลเรื่องจิต พอพิจารณาจิต เสียดายกาย กังวลเรื่องกาย เหมือนคนเหยียบบนเรือสองลำ ในฝันที่หลวงตาพูดว่า ไอต้องถามตัวเองไม่ใช่ไปถามคนอื่น โยมชั่งน้ำหนักแล้ว จากเรื่องพ่อ คือจะวางร่างกายผู้อื่นได้ ต้องวางร่างกายตัวเองให้ได้ก่อน สักพักใหญ่ๆ แล้ว มันก็เลยชัดเจนในตัวเองมากขึ้นค่ะ ที่ไม่ไปกายบ้างจิตบ้าง โยมคิดว่ามาถูกทางแล้วพิจารณากายก่อน เพราะเห็นอสุภะชัด พิจารณาความตายแบบช้าๆ ชัดๆ
ขอโอกาสค่ะ มีคำถามหนึ่งที่โยมอยากถามหลวงตา ขอหลวงตาเมตตา ช่วยตอบสั้นๆ ก็ได้
คือ เวลาที่พิจารณากาย แยกกายให้เป็นอาการ 32 กระจายร่างกายออกหมด แล้วพิจารณาดูว่ามีส่วนไหนที่เป็นเรา เป็นของเรา ตามทุกขัง อนิจจัง อนัตตา พอโยมพิจารณาไปอย่างนี้สักพัก แล้วทีนี้ถ้าโยมต้องการพิจารณากายไปในแง่มุมอื่นบ้าง จากอาการ 32 ไปเป็นพิจารณาความตายให้มากขึ้น ตาย เน่า เปื่อย ผุ พัง โยมจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนแล้ว อะไรคือตัวบ่งชี้
ขอบคุณค่ะ
หลวงตา : เห็นอย่างไรชัดเจนแก่ใจว่า ไม่มีตัวเราเป็นตัวตนคงที่ ก็ให้เห็นความจริงอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564