ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
เมื่อวานลูกชนะความปวดได้แล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ มันปวดท้องมากมานาน และทุกครั้งที่เป็นจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ครั้งหลังมันสังเกตและรู้ว่าเป็นเพราะจิตติดความสบาย คือยึดจะเอาความไม่ปวด และไม่อาจยอมรับความปวดได้ แม้นิดเดียว มันก็ไม่พอใจ และเริ่มไปคิดทำอะไรให้สังขารความปวดมันหายไปเจ้าค่ะ
แต่มันเป็นสิ่งที่แก้ไขยากเหลือเกิน คือมันหาใครที่ไม่อยากหายปวดเล่า แต่ความอยากหายปวดมันกลับเป็นเหตุของความปวดเสียเอง ลูกพยายามแล้ว พยายามเล่า ก็ไม่อาจแก้ไขได้ ได้แต่ยอมรับชะตากรรมเช่นนี้
จนเมื่อวาน เกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก ลูกเลยหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่ มานอนเฉยๆ และใช้มือสัมผัสบริเวณที่ปวด โดยที่ปล่อยวางความคิด และวิธีการปฏิบัติทั้งหมดในหัว แค่สัมผัสอย่างเดียว และรู้ว่าบริเวณนั้นมันแข็ง เกร็งเป็นไม้กระดานเลย
แล้วมันก็สำนึกผิดเจ้าค่ะ สำนึกในความผิดพลาด ในเส้นทางของการดีรักชั่วชัง จนสะสมเป็นอนุสัยทำให้เกิดทุกข์เช่นนี้ และบอกกับตัวเองว่าไม่เอาเส้นทางนั้นอีกแล้ว หลังจากนั้นส่วนที่เกร็งมันค่อยๆ ผ่อนลง เส้นเลือดข้างใต้เต้นตุ๊บๆ อย่างแรง และหลังจากนั้นมันก็หายปวด พอเลื่อนไปปวดตำแหน่งอื่น ก็ทำเช่นเดิมอีก สัมผัสรู้ และสำนึกผิด
ปรากฏว่ามันเป็นแบบเดิม หลังเลือดลมกลับมาเดินดี มันก็หายปวด และทุกครั้งของการปวดใหม่มันก็เบาลง เวลาเส้นเลือดคลาย มันก็ตุ๊บๆ เบาลง จนหายไปเจ้าค่ะ
ลูกเลยเรียนรู้ว่า ความพอใจไม่ไม่พอใจ ดีรักชั่วชัง มันทำให้เกิดการเกร็ง ไปรัดทำให้เลือดลมตรงนั้นไม่เดิน ยิ่งรัดมันก็ยิ่งอักเสบยิ่งปวด เพราะมันขาดเลือดไปเลี้ยง
ทางแก้คือต้องละทิ้ง เหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย เลือดลมจึงกลับมาเดินได้เป็นปกติเจ้าค่ะ ความปวดจากจิตใจนี้ ไม่มีหมอรักษาได้เจ้าค่ะ มีแต่ตัวเองเท่านั้น จะรักษาตนเองได้ เพราะมันต้องละทิ้งกิเลส
ลูกเข้าใจเลยว่า ทำไมคนไข้เค้าถึงทุกข์ ยิ่งปวดยิ่งทุกข์ ยิ่งทุกข์ยิ่งปวด และคับแค้นใจขึ้นไปเรื่อยๆ ใช้ยากดอาการปวดมากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเค้ารักษาตัวเองไม่เป็น ปวดส่วนที่เป็นจากกิเลสในใจ มันจึงไม่มีทางหาย จนสิ้นลมหายใจเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : เจ็บปวด หรือ ทุกข์ทางใจ ก็แบบเดียวกัน ได้แต่รับรู้อาการทางจิตใจอยู่เงียบๆ เท่านั้น ทุกข์หรือความเจ็บปวดใจก็จางคลาย จนดับไปของเขาเอง
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564