ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณในธรรมทั้งหมดที่หลวงตาส่งมาค่ะ
หนูขออนุโมทนาบุญกับงานเขียนที่สวยงามออกมาจากใจของคุณหมอมากๆ เลยค่ะ อ่านแล้วน้ำตาซึมลึกๆ เลยค่ะ ธรรมของคุณหมอได้ไหลผ่านมาถึงหนูค่ะ
หนูเลยไม่ทราบจะเขียนอะไรถึงหลวงตา เพราะดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคือ อดีตไปหมดแล้วค่ะ
“ทุกข์ใจ” ทั้งหมดเกิดจาก “ความคิด”
จริงๆ “ทุกข์กาย” มันก็มากพอแล้วนะค่ะ แต่หลายครั้งๆ ที่ทุกอย่างรุมเร้าลงมาพรึบเดียว
“ป่วยกาย” แถมยัง ใส่เพิ่ม “ป่วยใจ” ไปอีกโดยไม่รู้ตัว
ภาคปฏิบัติไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างทฤษฎีเลยค่ะ มีโอกาสที่จะโดนโจมตีแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยค่ะ แถมยิ่งพยายาม ยิ่งโทษตัวเอง ยิ่งเหมือนเพิ่มตัวเร่งปฏิกิริยา เพิ่มสังขารซ่อนสังขารอีกค่ะ
ประโยคของคุณหมอโดนกับสภาวะที่หนูกำลังเจอมากๆ ค่ะ
“อะไรๆ ที่ไม่เป็นแบบที่เราคิดก็เป็นสัจธรรมเช่นกัน…”
“…กลับเป็นตัวเราเองเสียอีกที่อยากให้ทุกสิ่งเข้าข้างเรา อยากให้เราไม่ป่วย อยากให้คนที่รักไม่ตาย…”
กราบขอบพระคุณหลวงตาในทุกๆ ธรรมค่ะ และอนุโมทนาบุญอีกครั้งกับคุณหมอด้วยใจเลยค่ะ
หลวงตา : พบกันได้เพียงในสมมุติ
ใน “วิมุตติ” พบกันไม่ได้
ผู้ถาม : ดูวิดิโอที่หลวงตาส่งให้ ชัดเจนเจ้าค่ะว่า แม้จะถึงซึ่งวิมุตติธรรมแล้ว แต่ธรรมอันเป็นสมมติก็ยังมาปรากฎได้ ในลักษณะต่างๆ กัน
เมื่อองค์หลวงปู่มั่นยังครองสมมติอยู่ ยังมีธาตุขันธ์ก็ยังปรากฏธรรมได้ แต่เมื่อใดที่สมมติของธาตุขันธ์จบลง ย่อมไม่อาจปรากฏธรรมใดได้อีก ธรรมทุกอย่างย่อมดับพร้อม พร้อมกับธาตุขันธ์ที่ดับลงด้วยใช่ไหมเจ้าคะ หลวงตา
หลวงตา : ธรรมที่เป็นสมมติทั้งหมดจะดับพร้อมกับธาตุขันธ์ที่ดับลง
ส่วนธรรมที่เป็น “วิมุตติ” เป็นธรรมที่ไม่มีการเกิดดับอยู่แล้ว
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณค่ะหลวงตา
เข้าใจเลยค่ะ ดังนั้นทุกธรรมที่มาปรากฏสอนที่เกิดขึ้นที่ใจ เป็นการใช้สมมติมาช่วยเหลือ
ใน “วิมุตติ” พบกับไม่ได้ แต่ “วิมุตติ” สามารถใช้ “สมมติ” มาปรากฏให้เห็นเพื่อช่วยเหลือได้ เหมือนว่าใช้ “สมมติ” เป็นเครื่องมือ แบบเดียวกับภาษาสมมติเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ใช่ไหมค่ะ
หลวงตา : สาธุ …ใช่แล้ว
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564