ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ โยมได้ไปกราบหลวงตาที่โรงพยาบาลสมเด็จฯ ณ ศรีราขาเมื่อไม่นานมานี้ พอกลับมาโยมก็เพียรมากเลยค่ะ เวลานั่งสมาธิหลับตา ความรู้สึกมันชัดเหมือนเห็นภาพประมาณว่า ตัวผู้เห็นมันเป็นกระจกเงา แขน ขาเราที่นั่งอยู่เหมือนเป็นฐานขาตั้งกระจก เวทนา สังขาร สัญญา แม้แต่ตัวรู้ก็เป็นเงาในกระจก เกิดดับ เกิดดับ เปลี่ยนแปลงสลับกันอยู่ตลอดเวลา เห็นทุกกิริยาอาการของใจที่มันเปลี่ยนแปลงตลอด
แต่ตัวกระจกที่เป็นผู้เห็นมันตั้งเด่นไม่หายไปไหนเลย เป็นอย่างนี้บ่อยมากเกือบทุกครั้งที่นั่ง โยมทำในรูปแบบทุกวัน ปฏิบัติในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นจนหลับ มันเหมือนมีตัวหนึ่งที่มันจะเอา จะเอา นิพพาน กลางคืนนอน ๆ อยู่รู้สึกตัวเมื่อไหร่ มันก็มาอีกแล้ว พุทโธ พุทโธหรือยัง ? รู้ลมหายใจหรือยัง ? เข้าขั้นฟุ้งซ้านในธรรมะเลยค่ะ จะกิน จะนั่ง จะนอน จะเดิน จะทำอะไรก็ตาม มันจะมาเตือน พุทโธ พุทโธหรือยัง ? ปฏิบัติหรือยัง ?
มาวันหนึ่งโยมได้ฟังคลิปที่ชื่อว่า "สุดยอดของความปรุงแต่ง" ตอนท้าย ๆ คลิปที่หลวงตากล่าวว่า พวกนักปฏิบัติขนาดไม่ได้เจอสิ่งกระทบปิดประตูอยู่คนเดียว มันยังไม่เลิกปรุงแต่ง ปรุงแต่งเรื่องธรรมะตลอดเวลา พยายามดิ้นรนจะทำอย่างนู้น จะทำอย่างนี้ หาสารพัดวิธีจะช่วยเหลือตัวมันเองให้บรรลุ ให้นิพพานจนจะเป็นบ้า (โยมเองอยู่สภาพนั้นเลยค่ะ)
แล้วหลวงตาก็บอกว่า มันมีตัวกูนี่แหละเข้าไปวุ่นวาย ไปพยายามจะช่วยเหลือตัวมันเองให้บรรลุ ให้นิพพาน โยมฟังแล้วก็พูดในใจว่าก็นั่นนะสิ แล้วยังคิดต่อว่าจะทำยังไงจะวางตัวกู ตัววุ่นวายนี้ได้ ก็นั่งสมาธิ (คือทำในรูปแบบทุกวัน) ก็ยังเห็นตัวดิ้นรนตัวพยายาม เห็นมันทุกซอกทุกมุม ทุกการกระทำเหมือนกับว่าตัวที่เห็นนี่เป็นกล้องวงจรปิด สังขารมันจะปรุงแต่งไปแนวไหน ยึกยัก ๆ ยังไงเห็นหมด แต่ทำอะไรไม่ได้ แล้วมันก็ทุกข์
เคยฟังหลวงตากล่าวบ่อย ๆ ว่าให้วางทุกอย่าง วางให้หมด วางทั้งสิ่งถูกรู้ วางทั้งผู้รู้ ให้หมด (โยมก็ยังแอบคิดในใจว่าจะวางได้ยังไง ใครจะไปวางได้) โยมก็เข้าไปทำในสมาธิเลยค่ะ คือวางสิ่งที่ถูกรู้ ถูกดู ถูกเห็น แล้วก็ถอยออกมาวางผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็นอีกที มันก็ปรากฏผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็นเกิดขึ้นมาอีก มันยังรู้สึกว่ามีตัวมีตนของผู้กระทำอยู่ ทำยังไงจะจัดการตัวนี้ออกไปได้ ก็แกล้งทำตัวผู้รู้ให้เอ๋อก็แล้ว แกล้งไม่ดูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ลองสารพัดวิธี เป็นแบบนี้อยู่ 2 วันที่ทำในรูปแบบ
จนวันต่อมา ทำในรูปแบบเหมือนเดิม มันก็เป็นเหมือนเดิม ยิ่งดิ้น ยิ่งพยายาม ยิ่งแสวงหาหนทางยิ่งติด ยิ่งหลงวนเวียนอยู่อย่างนี้ จนรู้สึกว่าหมดหนทางที่จะดิ้น จะพยายามแล้ว มันจนตรอกจริง ๆ หาทางออกไม่ได้ เจอทางตัน ในตอนนั้นใจมันเลยพูดขึ้นมาว่า เอาแค่ทำทานรักษาศีลก็พอชาตินี้ กูถอดใจแล้วจะบรรลุ ไม่บรรลุ โสดงโสดาไม่เอามันแล้ว ช่างแม่งมันเถอะ นิพพานหรือไม่นิพพานไม่สนแล้ว เหนื่อยแล้ว พอแล้ว !!
แค่นั้นชั่วอึดใจเดียว อ้าว !! ใจหนัก ๆ เมื่อกี้เบาโปร่งโล่งสบาย ไม่เห็นตัวที่ดิ้นรน ไม่เห็นตัวที่พยายาม ความทุกข์หาย แล้วก็มีสภาวะหนึ่งเกิดขึ้น เหมือนมีสิ่งหนึ่งเหมือนจักรวาลว่าง ๆ แหวกตรงกลางม่านมืด ๆ ออกมา ใจมันก็พูดว่านี่เหรอที่เค้าเรียกนิพพาน มันเป็นแบบนี้เหรอ แล้วใจมันก็บอกว่า "มันก็แค่นี้เอง แค่นี้เอง" แล้วก็กลับมารู้สึกที่ลมหายใจค่ะ โยมก็ลืมตาทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ
มีแต่ใจที่มันเปลี่ยนไป มันโปร่งโล่งเบาสบาย ไม่มีความดิ้นรน หรือความพยายามที่ทำอะไรกับใจอีก มองไปรอบ ๆ ตากระทบอะไรก็ไม่มีเสียงพูดในใจบอกว่านี่พัดลม นี่ทีวี นี่ต้นไม้ นี่เก้าอี้ นี่โต๊ะ ตอนนี้รู้ตัวแบบสบาย ๆ รู้ได้เรื่อย ๆ แบบธรรมชาติธรรมดา โดยไม่ต้องตั้งรู้ไว้ก่อน ไม่ต้องไปเฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้าสังเกตอะไร หรือเข้าไปทำอะไร ๆ เหมือนเมื่อก่อน
ไม่ต้องมาคอยรู้กาย รู้ใจ ไม่ต้องมีการมาคอยเตือนตัวเองว่าเฮ้ย ๆ ปฏิบัติ ปฏิบัติ รู้ตัว รู้ตัว ตอนนี้ไม่มีฐานให้ตั้ง ไม่มีอะไรให้คอยต้องเกาะ ไม่มีการดูลมหายใจ มันสามารถรู้ตัวทั่วพร้อมของมันเองโดยไม่ต้องมีเจตนาที่จะรู้ ไม่มีการตื่นลืมตามารีบกำหนดท่องพุทโธ หรือรู้ลมหายใจหรือกระทั่งยามนอน เวลาความคิดอะไรโผล่มาก็ปล่อยเค้าเกิดดับเอง แบบชิล ๆ
ธรรมะของพ่อแม่ครูอาจารย์หลาย ๆ องค์ที่เคยได้อ่าน ได้รู้ ไหลเข้ามาสู่ใจไม่ขาดสาย แม้จะต่างคำพูดแต่ความหมายเดียวกัน "มันก็แค่นี้เอง แค่วาง แค่หยุด แค่หายโง่ เส้นผมบังภูเขา ตอนนี้เหมือนได้ปลดแอกที่แบกมานานออกทิ้งไปเจ้าค่ะ มันก็แค่ง่าย ๆ แต่มันมีตัวกูเข้าไปทำ เข้าไปยุ่ง เพื่อที่กูจะได้ กูจะเป็น กูจะเอา มันเลยกลายเป็นยาก ตอนนี้มันเหมือนได้ที่พึ่งแล้ว มีธรรมะเป็นที่พึ่งแล้ว หลังจากเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง แม้จะปฏิบัติจริงจังมา 3 ปีกว่า ๆ
** โยมต้องกราบขอขมาหลวงตาที่โยมแปลคำสอนด้วยความโง่ ด้วยกิเลส ด้วยตัณหา อุปาทานของตัวเองเจ้าค่ะ
** ดิ้นรนจนสุดทาง จนไม่มีทางให้ดิ้นแล้ว เค้าจึงยอมวาง บทเค้าจะวางเค้าก็วางของเค้าเอง แบบง่าย ๆ สั้น ๆ แค่อึดใจเดียว ไม่ใช่เราเป็นคนวาง และก็ไม่มีเราในการวางนั้น มันไม่มีเราในอะไร ๆ ทั้งนั้น ความรู้สึกที่ว่าเป็นเรามันหายไปเจ้าค่ะ เพราะความโง่จึงยึดถือว่ามีเรา ว่าเป็นเรา หลังจากวันนั้นผ่านมาอีกวันหรือ 2 วัน โยมได้มาฟังคลิปที่ชื่อว่า "เรื่องมันก็มีอยู่เพียงแค่นี้" คำทุกคำที่หลวงตากล่าว มันแจ่มแจ้งชัดเจนในสิ่งที่โยมประสบมาหมาด ๆ เจ้าค่ะ
โยมขอกราบแทบเท้าหลวงตา ในความเมตตาสงเคราะห์คนโง่เขลาอย่างโยมให้ได้มีดวงตาเห็นธรรม โยมคิดมาหลายวันว่าจะรายงานหลวงตาดีไหม แต่ก็อยากแบ่งปันประสบการณ์แก่ท่านอื่น ๆ ที่อาจจะตกอยู่สภาพเดียวกันกับโยมเจ้าค่ะ กราบขอขมาที่ใช้คำไม่สุภาพด้วยค่ะ
หลวงตา : สังเกตเห็นจิตตสังขารที่พยายามไปยึดถือใจ (วิสังขาร)
ไม่มีผู้ไปอะไร อะไร ทั้งจิตตสังขารและใจ (วิสังขาร)
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562