ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ การภาวนาที่ผ่านมาก็รู้อยู่ที่ใจ สังเกต "จิต" วันนี้ช่วงเช้าตรู่ เห็นจิตปรุงแต่งคิดนึก (สังขารกรรม) สลับกับสังขารวิบากเกิดดับ ๆๆ รู้ที่ใจ ถ้าจิตไม่หลงตามไปรู้ ไปเป็นอะไร ๆ กับสังขารปรุงแต่งเหล่านั้น จิตก็จะแค่รู้ สักแต่ว่ารู้สังขารเกิดดับ ๆ ในใจที่ว่างเปล่า
อาศัยความสงบสงัดตั้งมั่นรู้ที่ใจ แล้วสังเกตให้ดีเป็นปัจจุบันขณะจิตที่แค่รู้ สักแต่ว่ารู้นั้น ทุกขณะก่อนจะเริ่มรู้เห็นอาการเกิดดับนั้น จากความไม่มีไม่เป็นอะไรก็เริ่มมีอาการไปจับรู้ มีจิต (ผู้) รู้ รู้อาการเกิดดับ ๆ เป็นขณะ ๆ อาการเริ่มต้นเข้าไปรู้ไปเห็นสิ่งเกิดดับ เป็น "อวิชชา ตัณหา" คือ หลงยึดเอา "จิต" ซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นธรรมชาติรู้ที่ไร้ตัวตน ไร้คำพูด มาเป็นเรา เป็นของเรา อย่างเนียนกลมกลืน คือ ไร้ตัวตน ไร้คำพูด โดยไม่รู้ตัวเลยว่า มีเราแอบซ่อนนอนมาในจิต ที่เหมือนไม่มีตัวตนคนสัตว์นั้น
ขณะนั้นมีสติ สมาธิ ปัญญา รู้เห็นและไม่ยึดถือสิ่งเกิดดับ ว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา แต่ปัญญารู้ว่า ยังหลงยึดถือจิตผู้รู้เป็นเรา เพราะยังมีอาการของจิตที่ยังวนเวียนไปรู้เห็นอาการเกิด ๆ ดับ ๆ แม้ไม่มีผู้พยายามจะทำอะไรให้เป็นอะไร สติ สมาธิ ปัญญา รู้ที่ใจ เห็นตามเป็นจริงอย่างเป็นอิสระ เป็นธรรมชาติธรรมดาต่อไปเท่านั้นเอง อย่างนั้นรึเปล่าคะหลวงตา กราบหลวงตาโปรดเมตตาชี้แนะ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
หลวงตา : สังเกตเห็นจิตตสังขารที่พยายามไปยึดถือใจ (วิสังขาร)
ไม่มีผู้ไปอะไร อะไร ทั้งจิตตสังขาร และ ใจ (วิสังขาร)
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562