ผู้ถาม : มันมีเรื่องกังวลหลายอย่างที่ขึ้นมารบกวนจิตใจ คือ คนไข้ที่กำลังไม่ดี และครอบครัวของเขาที่กำลังเป็นทุกข์ พอมีผัสสะเหล่านี้ขึ้นมา มันโผเข้าไปช่วยทันที เป็นอัตโนมัติเลยเจ้าค่ะ มันไม่ได้จับยึด ดันทุรังแบบเดิม
แต่ก็รู้ว่ายังมีตัณหา มีความพยายามที่จะช่วยเขาอยู่ในใจ และสิ่งนั้นปรุงแต่งออกมาเป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านเรื่องเขาอยู่ตลอดเวลา กังวลว่า จะลางานไปปฏิบัติดีไหม หรือ ไม่ไปดี หรือจะเอายังไง เพราะตอนนี้ มันรู้สึกว่า มีตัวเองเป็นที่พึ่งของพวกเขาอยู่ จะไปไหนไม่ได้ อะไรแบบนั้นเจ้าค่ะ
จนมันรบกวน ทนไม่ไหวแล้ว เลยมานั่งเงียบ ๆ ดูจริง ๆ ว่าตัวเราเข้าใจผิดอะไรกันแน่ ทำไมมันเป็นแบบนี้
เลยรู้ว่า เรารู้สึกว่า เราช่วยเขาให้พ้นทุกข์ได้ ซึ่งมันเข้าใจผิด คือ ใจมันยังแยกความพ้นทุกข์และความทุกข์ออกจากกัน
มันยังมีสองฝั่ง เมื่อใจยังมีสองฝั่ง มันก็ต้องไปช่วยผู้อื่นให้เข้าถึงฝั่งที่มันดีกว่าอยู่แล้ว มันเลยฟุ้งซ่านถึงสิ่งนั้นขึ้นมาตลอด
แต่ในความเป็นจริง มันไม่สามารถแยกความสุขออกจากความทุกข์ได้เลย ในทุกกรณี ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ทั้งภายในและภายนอก เพราะความทุกข์มันเป็นของประจำโลก มันเป็นของที่ติดตัวมาอยู่แล้ว เพราะมันเป็นส่วนของขันธ์
ถ้ายอมรับความทุกข์ไม่ได้ มันก็คือ ยอมรับความจริงของขันธ์ไม่ได้ มันก็ต้องทุกข์มากกว่าเดิมอยู่แล้ว คือ นอกจากทุกข์จากขันธ์แล้ว
ยังต้องทุกข์จากการดิ้นรนให้พ้นขันธ์อีก และมันเป็นไปไม่ได้เลยด้วย ดิ้นยังไงก็ไม่พ้น เพราะตัวเราเป็นขันธ์เจ้าค่ะ มันต้องเป็นแบบนั้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มันก็สงบมากขึ้น และพิจารณาความจริงต่อได้เจ้าค่ะ
หลวงตา : พระพุทธเจ้าก็ช่วยให้ใครพ้นทุกข์ หายกังวล หายสงสัยไม่ได้หรอก ทำได้เพียงชี้แนะตามประสบการณ์ตรงที่ปฏิบัติละ ปล่อยวางมา จนสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น พ้นทุกข์ได้จริง
ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา คือ ทำได้เพียงเท่านี้ แต่เขาจะพ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่ ย่อมแล้วแค่ตัวของเขาเองใช่ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : ใช่
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2562