ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ เช้านี้หนูนั่งมองภาพริมทะเลตรงหน้า ทุกอย่างเงียบสงบ ใจเงียบสงบ จะเรียกว่าความสงบก็ไม่ใช่นัก
ในความรู้สึกว่าคำว่าสงบมันยังไม่ใช่ แต่มันคล้าย ๆ กับคำว่า สันติ เสียมากกว่า ภาพนกที่บินไปบินมา เรือหาปลาที่ล่องลอยอยู่ใทะเล ตัวเงินตัวทองที่ว่ายหาปลาอยู่ในป่าโกงกาง ในขณะที่มองภาพเหล่านั้น มันปรากฏเพียงภาพที่เป็นอย่างนั้น แต่ในใจมันไม่มีคำอธิบายใด ๆ ต่อภาพนั้นเลย ไม่ปรากกว่ามีการตีความใด ๆ ต่อภาพที่เห็นที่รับรู้นั้น
ซึ่งแตกต่างกับบางขณะที่เวลามองภาพ ข้างในมันจะมีการแปลค่ามีความหมายต่อสิ่งนั้น คือ หมายว่าสิ่งนี้ คือ นก อาการนี้ คือ บิน นี่คือ เรือ นี่คือ เรือล่องลอยอยู่ แต่ในภาพนี้มันมีเพียงภาพที่ปรากฏอย่างนั้น ๆ เป็นอย่างนั้น ๆ ไม่หมายแม้นก แม้เรือ หรือการเคลื่อนที่ เหมือนใจเขาไม่เคลื่อนออกไปให้ค่า แปลค่า ให้ความหมายต่อสิ่งใดที่เห็นเลย พ้นไปจากการหมายหรือให้ค่าสิ่งใด ๆ เลยเจ้าค่ะ
แต่สิ่งที่หนูได้เห็นกลับอีกทางในขณะจิตต่อ ๆ มาหลังจากนั้น คือ ความเห็นผิดบางอย่างที่แนบมาอย่างแนบเนียน คือ ขณะจิตจากนั้น มันมีตัวซ่อนในใจ คือ...
หมายที่จะไม่หมาย !
ก่อนหน้านั้นความไม่หมายมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ก็เป็นจริงตามนั้น แต่หากไม่ทันตัวซ่อนตลบหลัง มันสามารถจะยึดความไม่หมายในสิ่งใดได้เลยเจ้าค่ะ
หนูขอส่งการบ้านองค์หลวงตาเท่านี้เจ้าค่ะ ขอน้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
ส่งการบ้านองค์หลวงตาไปแล้ว มันก็ยังมีผุดตัวที่จะหมายจะให้ค่าการบ้านต่ออีกเจ้าค่ะ โอ้โห..... มันน่ากลัวจริง ๆ เลยเจ้าค่ะองค์หลวงตา มันน่ากลัวตรงที่ว่า ถ้าหากไม่เห็นกระบวนการทำงานของอวิชชาได้จริง ๆ มันหลงยึดได้หมดทุกอย่าง ทุก ๆ ขณะ จริง ๆ เลยเจ้าค่ะ ความน่ากลัวสำหรับหนูมันอยู่ตรงความไม่รู้ ความรู้ไม่รอบนี่เลยเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ องค์หลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : เพราะมัวหลงชื่นชมกับความเงียบ สงบ สงัดทั้งภายในและภายนอก และการไม่มีการปรุงแต่งให้ค่าให้ความหมายใด ๆ เลย แต่ไม่รู้เท่าทันว่ามีตัวตนของผู้ชื่นชอบ ยินดี พอใจ ในปัจจุบันขณะนั้น จึงเป็นอวิชชา (ความไม่รู้เท่าทันและไม่รู้สัจธรรมความจริง) ตัณหา อุปาทาน (หลงยึดมั่นขันธ์ห้าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา) แล้วมีเราหรือตัวเรามีตัณหากับสภาวธรรมในปัจจุบันขณะนั้น ๆ
การปฏิบัติที่ถูกต้องทุกปัจจุบันขณะ เมื่อกระทบ หรือผัสสะ หรือเกิดสภาวธรรมอย่างใดในปัจจุบันขณะ ไม่ว่าจะเงียบ สงบ สงัด ว่างเปล่าเพียงใด
***** ต้องสังเกตเห็นจิตตสังขาร คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง มีกิริยาอาการกระเพื่อม ไหว ๆ ในท่ามกลางสภาวธรรมในปัจจุบันขณะ โดยไม่ไปสนใจสภาวธรรมใด ๆ เลยแม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง ให้สังเกตเห็นแต่จิตตสังขารทุกปัจจุบันขณะเท่านั้น จนสังเกตเห็น หรือ รู้จากใจจริง ๆ ว่า มีแต่สังขารเท่านั้นที่เกิดขึ้นเอง แล้วดับไปเอง ในท่ามกลางสภาวะต่าง ๆ ทุกปัจจุบันขณะ ไม่มีเรา ตัวเรา หรือใครในสภาวธรรม หรือในจิตตสังขารเหล่านั้นเลย
ส่วนผู้รู้จะไม่ปรากฏอาการให้ถูกรู้เลย คงปรากฏแต่สภาวธรรมที่ถูกรู้ และจิตตสังขารที่คิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่งเกิดเอง ดับเองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ผู้ถาม : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ มันต้องมุ่งเห็นจิตตสังขารอย่างเดียว ไม่สนใจให้ค่าอย่างอื่นเลย ต้องมั่นในใจในทุกขณะอยู่ตรงนี้เลยเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากครั้งนี้ คือ อะไรที่รู้สึกว่าใช่ มันไม่ใช่หมดเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ถ้ามีใช่ ก็แสดงว่ามีผู้ยึด ถ้ามีผู้ยึด ก็มีผู้มีกิเลสตัณหา มีผู้ทุกข์
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ จริงที่สุดเจ้าค่ะองค์หลวงตา สาธุ สาธุเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2562