ผู้ถาม : ตอนใกล้จะตื่นนอน ขันธ์ตัวสุดท้ายที่ปกติมันทำงานของมันทั้งวันทั้งคืน มันทำงานของมันเป็นปกติ แต่จะมีรู้แบบเบาบาง ที่แค่รู้ว่ามันทำงาน ... และจะรู้มากขึ้นว่ากายเนื้อจะตื่นลุกแล้ว รอยต่อระหว่างยังไม่รู้ถึงกายเนื้อ ก่อนที่จะรู้กายเนื้อ มันรู้สึกว่า มันไม่ต่อกัน หรือมันขาดตอน
ไอ้มายาขันธ์ดับไป ตื่นขึ้นมา มายาขันธ์ทั้งห้ามาเกิดใหม่อีก นั้นหมายความว่า กิเลสมันก็ไม่ได้มีอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน
รู้ชัดเจน ก็เหลือแต่ “ความรู้” นี่เรียกว่า “วัฏจิต”
"เชื้อ" ที่จะพาให้ “จิต” ไปเกิด ไปตาย ในภพชาติน้อยใหญ่นั้น
ก็คือ “ตัวรู้” ที่อยู่กับ “จิต” กลมกลืนเป็น “อันเดียวกัน” อยู่นั้นแล
เมื่อขาดจากความ “สืบต่อ” กับ "สิ่งภายนอก"
จนกระทั่ง "ในขันธ์" เรียบร้อยแล้วยังเหลือแต่ “จิต”
นั่นคือยังเหลือแต่ “อวิชชา” ...
"อวิชชา" นี้ท่านเรียกว่า "เชื้อ" ....
“เชื้อแห่งวัฏจักร” มีอยู่ที่ “จิตนี้”
"ปัญญา" พิจารณาลงไปที่ “จุดนั้น”...
อวิชชา มีอยู่ที่จิตนี้ … ???? มียังไง อยู่ยังไง จิต ขันธ์ตัวสุดท้าย และ "รู้" ขันธ์สุดท้าย ซึ่งแสดงเป็นรูปนามได้ แต่มันก็ไม่เที่ยง "รู้" ก็แค่รู้อย่างนั้น ไปทำอะไร ขันธ์สุดท้ายก็ไม่ได้ อวิชชามันอยู่ตรงไหน ยังไง
หลวงตา : แม้ไม่มีอาการของจิตเดิมแท้หรือใจ กระเพื่อมออกมาทางกายสังขาร วาจาสังขาร จิตตสังขาร
แต่ก็ยังมี “อวิชชา” คือ ความหลงยึดถือว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเราอยู่ในความรู้สึก เช่น ในใจลึก ๆ ยังหิวหรือโหยหานิพพาน ความว่าง ความสุขที่ทุกข์ไม่มี หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็แสดงว่ายังมี “อวิชชา” แอบแฝงอยู่ในจิตเดิมแท้หรือใจ
ถ้ายังมีอวิชชาแอบแฝง ก็ยังมีตัวตนของผู้ปรุงแต่งยึดถือให้เป็นกิเลสอย่างอื่น ๆ ได้อีก
ต้องรู้เท่าทันอวิชชาในจิตเดิมแท้หรือใจ
จนสิ้นความอยาก ความหวัง ความปรารถนานิพพาน
จิตเดิมแท้หรือใจจึงจะบริสุทธิ์ เป็นมหาสุญญตา เป็นนิพพาน
***** แต่ถ้ายังมีจุดหรือต่อม “ผู้รู้” หรือ ยึดถือจิตเดิมแท้หรือใจที่ว่างเปล่า เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา
ก็ยังเป็น “อวิชชา” ตัวใหญ่
ต้องรู้เท่าทัน “อวิชชา” ความหลงยึดถือดังกล่าว
จิตเดิมแท้หรือใจแท้ ๆ จึงจะสิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น เป็นจิตหรือใจที่บริสุทธิ์ เป็นนิพพาน หรือ มหาสุญญตาที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2562