ผู้ถาม : อยู่ริมสระอยู่ดี ๆ ปลามันกระโดดขึ้นมา น้ำก็กระเพื่อมออกไปเป็นวง ขยายออกไปเรื่อย ๆ มันเข้าใจขึ้นมาเลยเจ้าค่ะ
ที่แท้สังขารที่รับรู้ ที่ถูกรู้ทั้งหมด เป็นเสมือนวงน้ำ มีวงน้ำได้เพราะมีตัวปลา ก็คือ ตัวเรานี่แหละ ถ้ายังไม่ตาย ตัวเรามันไม่มีทางนิ่ง ๆ เฉย ๆ ได้หรอก มีต้องมีการขยับ ตามการกระทบภายนอก แห่งร่างกายและอายตนะที่รับรู้อยู่แล้ว
ถ้ากระทบ มันก็มีขึ้นมา น้ำก็กระเพื่อม
ถ้าไม่มีกระทบ น้ำก็สงบนิ่งอยู่ ว่างเปล่าจากปัจจัยปรุงแต่งอยู่
ที่แท้ทุกสิ่งก็เป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง
โล่งไปเลยเจ้าค่ะ เหมือนหมดภาระที่ต้องไปทำอะไรให้เป็นอะไรเลยจริง ๆ
สภาวะธรรมชาติ มันไม่มีหลง
มีแต่รู้ ที่รู้ทุกสิ่ง แต่ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นอะไรเจ้าค่ะ
หลวงตา : แม้ไม่มีอาการของจิตเดิมแท้หรือใจ กระเพื่อมออกมาทางกายสังขาร วาจาสังขาร จิตตสังขาร
แต่ก็ยังมี “อวิชชา” คือ ความหลงยึดถือว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ตัวตนของเราอยู่ในความรู้สึก เช่น ในใจลึก ๆ ยังหิวหรือโหยหานิพพาน ความว่าง ความสุขที่ทุกข์ไม่มี หรือ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็แสดงว่ายังมี “อวิชชา” แอบแฝงอยู่ในจิตเดิมแท้หรือใจ
ถ้ายังมีอวิชชาแอบแฝง ก็ยังมีตัวตนของผู้ปรุงแต่งยึดถือให้เป็นกิเลสอย่างอื่น ๆ ได้อีก
ต้องรู้เท่าทันอวิชชาในจิตเดิมแท้หรือใจ
จนสิ้นความอยาก ความหวัง ความปรารถนานิพพาน
จิตเดิมแท้หรือใจจึงจะบริสุทธิ์ เป็นมหาสุญญตา เป็นนิพพาน
***** แต่ถ้ายังมีจุดหรือต่อม “ผู้รู้” หรือ ยึดถือจิตเดิมแท้หรือใจที่ว่างเปล่า เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา
ก็ยังเป็น “อวิชชา” ตัวใหญ่
ต้องรู้เท่าทัน “อวิชชา” ความหลงยึดถือดังกล่าว
จิตเดิมแท้หรือใจแท้ ๆ จึงจะสิ้นผู้เสวย หรือ สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น เป็นจิตหรือใจที่บริสุทธิ์ เป็นนิพพาน หรือ มหาสุญญตาที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2562