ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
ธรรมจากองค์หลวงตามหาบัววันนี้ละเอียดลึกซึ้งมากเจ้าค่ะหลวงตา ที่ท่านบอกว่า "อวิชชามันกลมกลืนจมสนิทกับใจ" ถ้าจะเปรียบเหมือนผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำ มันทำให้น้ำเปลี่ยนสี เราจะทำให้น้ำกลับเป็นสีใสอีกได้ ด้วยวิธีใดเจ้าคะหลวงตา กราบขอหลวงตาโปรดเมตตาชี้แนะสอนสั่งด้วยเจ้าค่ะ
โดยใช้ปัญญาอันสูงสุด แค่ถอนความยึดมั่นถือมั่น ความเป็นตัวตนออกมา ด้วยความเพียร ความอดทน น้ำไม่ได้เปลี่ยนสี กิเลสก็ยังคงเป็นกิเลสเพียงแต่น้ำจะกลายเป็นไอลอยไปในอากาศ ไปรวมอยู่กับความว่างของอากาศ จักรวาลใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : สาธุ
สิ่งใดปรุงแต่งเกิดดับได้ เรียกว่า “สังขาร”
ส่วน “วิสังขาร” จะคิดปรุงแต่งยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา … ไม่ได้
ดังนั้น ความปรุงแต่งหลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ หลงยึดถือใจ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา นั้น ก็เป็นเพียง สังขารที่ปลอมปนผสมอยู่ใน “วิสังขาร” เป็นเหมือนผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำ
แต่สำหรับผู้ที่เฝ้าสังเกตจิตใจของตนเองอยู่เงียบ ๆ ด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และ ขันติ โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู
ซึ่งระหว่างการฝึกอย่างหนัก จะหลงมีตัวตนของผู้เฝ้าดูเสียก่อน โดยหลงยึดถือว่า เราเป็นผู้เฝ้าดู หรือ ผู้เฝ้าดูเป็นตัวเรา
ความรู้สึกว่าเราเป็นผู้เฝ้าดู หรือ ผู้เฝ้าดูเป็นตัวเรานั้น จะเป็นเหมือนกับผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำบริสุทธิ์ ซึ่งเป็น “อวิชชา” ตัวจริง
แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าผู้เฝ้าดูนั้น เป็นสังขาร เพราะสามารถคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ได้ เช่น มีเจตนา จงใจ ตั้งใจ พยายามที่เริ่มต้นจะดูจิต
มีความแทรกแซง มีความอยาก มีความพยายาม ดิ้นรน ค้นหา สงสัย มีความเพ่ง จ้อง เน้น กด ข่ม บังคับ กดดันตนเอง หงุดหงิดเมื่อปฏิบัติไม่ได้อย่างใจอยาก
มีความสุขใจสบายใจเมื่อปฏิบัติได้อย่างใจอยาก
ปรุงแต่งยึดถือว่าเราเป็นผู้ดู เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้เห็น เราเป็นผู้รู้แจ้ง เราถึงธรรม เราบรรลุนิพพาน ..... เป็นต้น
เมื่อรู้เท่าทันสังขารที่ปรุงแต่งเป็นเรา หรือ ตัวเราผู้เฝ้าดูจิตแล้ว ก็ไม่หลงทำตามสังขาร ที่ปรุงแต่งเป็นเราหรือตัวเรา เริ่มต้นมีเจตนา จงใจ ตั้งใจ หรือ พยายามจะดูจิต หรือ แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวในปัจจุบันขณะนั้นเสีย และไม่หลงไปพยายามดับเขา แล้วสังขารในปัจจุบันขณะก็จะเกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง ..........โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู ไม่มีตัวตนของเราไปรองรับหรือไปยึดถือสิ่งเกิดดับ
ก็จะรู้เห็นจากใจจริง ๆ ว่า สังขารในปัจจุบันขณะที่เกิดเอง ดับเอง เกิดเอง ดับเอง ..... โดยไม่มีตัวตนของผู้เฝ้าดู ไม่มีตัวเรา ของเรา ไปยึดถือรองรับนั้น เกิดดับในความว่างที่ไม่ปรากฏอะไรเลย
แต่ถ้าหากรู้ไม่เท่าทัน ก็จะหลงมีตัวตน มีเรา หรือ มีตัวเรา เป็นผู้หลงยึดถือความว่าง และ รังเกียจสังขารที่เกิดดับ
ถ้าสังเกตให้ดี ๆ โดยไม่มีตัวตนของผู้สังเกต หรือ ไม่หลงมีตัวเราเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ก็จะรู้เท่าทันความหลงเอาสังขารมายึดถือวิสังขาร ซึ่งเป็นความไม่มีอะไรปรากฏ โดยหลงสังขารปรุงแต่ง เป็นความอยากพ้นทุกข์ หรือ อยากเป็นวิสังขารอย่างถาวร ซึ่งมันเป็นอวิชชา เหมือนกับผงคาร์บอนที่ละลายอยู่ในน้ำที่บริสุทธิ์
แต่สำหรับผู้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร และขันติอย่างต่อเนื่อง ก็จะสังเกตเห็นว่า ยังหลงยึดถือว่าผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้เงียบ สงบ สงัด ผู้ถึงความว่าง ผู้นิพพานเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ยังมีกิเลส มีความทุกข์ มีความกังวล มีความผ่องใสแล้วเศร้าหมองได้
มีความรู้สึก นึก คิด ตรึก ตรอง วิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย สงสัย ดิ้นรนค้นหา ยังโหยหานิพพาน มีการปรุงแต่งพูดพากษ์อยู่ในใจคนเดียว เหมือนคนบ้าอยู่ตลอดเวลาได้ หรือ มีอาการต่าง ๆ เกิดดับได้
ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็จะหลงไปเป็นสังขารเหล่านี้ เกิดเป็น “อวิชชา” ห่อหุ้มจิตหรือใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นความว่างไว้ภายใน เป็นเหมือนกับลูกโป่งวิทยาศาสตร์ หรือ ลูกโป่งฟองสบู่ ที่เด็กเอามาเป่าเล่น ที่ห่อหุ้มความว่างไว้ภายใน โดยจะหลงมีเรา ตัวเรา ตัวตนของเราอยู่ในห้องว่าง
เมื่อรู้เท่าทันว่าหลงเอาสังขารมาปรุงแต่งยึดถือจิตหรือใจบริสุทธิ์ ก็จะสิ้นหลง
จิตหรือใจจึงเป็นความบริสุทธิ์ หรือ นิพพานแท้จริง ๆ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2562