ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาค่ะ
หนูขออนุญาตส่งการบ้านนะคะ หนูได้ทำความเพียรตามที่หลวงตาเมตตาแนะนำคือ เห็นจิตที่คิดปรุงแต่งแสดงอาการดีรัก ชั่วชัง เกลียดทุกข์ รักสุข ดิ้นรนทะยานอยากในปัจจุบันขณะ และก็เห็นจิตที่ไปเห็นอาการเหล่านี้อีกที และก็รับรู้ว่ามันเป็นสังขาร ก็ปล่อยมันไปทั้งจิตที่มีอาการเกลียดหรือรัก หรือพอใจ ไม่พอใจ และจิตที่ไปเห็นมันอีกที ก็ช่างมัน Set Zero และประเดี๋ยวจิตหลงปรุงแต่งอีก กระดุกระดิกอีก ก็เห็นมัน และก็ Set Zero ใหม่อีกค่ะ
เมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์สำคัญอันหนึ่ง (นอกเหนือจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน) ที่ทำให้หนูตระหนักว่าตัวตนของหนูยังมีอยู่เต็ม ๆ เลยค่ะ คือตอนนี้สามีของหนูกำลังรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ค่ะ ให้ยาทุกเดือน (เทียบเท่ากับคีโม แต่ไม่ใช่ค่ะ เป็นยาที่ใหม่กว่า ให้ยาแล้วผมไม่ร่วงค่ะ) และคุณหมอก็จะให้สแกนดูผลการรักษาทุกๆ 3 เดือน สแกนครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผลการรักษาดีมาก จุดที่มีเซลล์มะเร็งหายไปหนึ่งจุด ส่วนจุดที่สองขนาดของเซลล์มะเร็งลดลงเยอะมาก ครั้งล่าสุดสแกนเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาค่ะ แต่ผลการรักษาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เซลล์มะเร็งที่จุดที่สองไม่ลดลงและดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่หมอก็สรุปว่าไม่เปลี่ยนแปลง พอหนูทราบผลการรักษา จิตก็ปรุงแต่งโน่นนี่นั่นและมีตัวไปรับเป็นทุกข์ทันทีเลยค่ะ คือเห็นอยู่ว่ากำลังมีตัวตนเข้าไปปรุงแต่งถึงผลกระทบที่จะตามมาถ้าการรักษาไม่เป็นไปด้วยดี กลัวว่าตัวเอง และลูก ๆ จะลำบากคือเห็นตัวตนตัวเองเต็ม ๆ ความกังวลความทุกข์ก็อยู่นานเป็น 2-3 ชั่วโมงเลยเจ้าค่ะ แต่พอสติกลับมา เห็นว่าสังขารไปปรุงแต่ง หนูก็พิจารณาว่าอะไรจะเกิดในอนาคตก็ต้องเกิด ถ้าสังขารธาตุสี่ขันธ์ห้านี้ หรือสังขารของลูก ๆ จะต้องลำบาก ถ้ามันจะต้องเป็นแบบนั้นก็ต้องเป็นแบบนั้น ก็ได้แต่เห็นมันดำเนินไปตามที่มันควรจะดำเนินไปตามเหตุปัจจัย แล้วทุกอย่างก็จะดับไปตามเหตุปัจจัยของมันเอง ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง (เหมือนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เรียงตามกันมาเพื่อเกิดขึ้นและดับไปตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่) พอพิจารณาให้จิตเห็นตามสัจธรรมความจริงแล้ว มันก็ปล่อยเจ้าค่ะ ถ้าใจยอมรับสัจธรรมความจริงได้ ความทุกข์ก็เข้าไม่ถึงใจค่ะ เหตุการณ์นี้ทำให้หนูเห็นว่าต้องทำความเพียรต่อไปและเพิ่มขึ้นในการพิจารณากาย พิจารณาความตาย ให้มันลงแก่ใจ
ช่วงหลัง ๆ นี้หนูรู้สึกว่าตัวเองมีสติบ่อยขึ้น เห็นสภาวะในชีวิตประจำวันเป็นสังขารที่คิดปรุงแต่ง ชอบ ไม่ชอบ อยาก ไม่อยาก เห็นอุปทาน กิเลส แล้วก็เห็นตัวที่เข้าไปเห็น จากนั้นก็ปล่อยคือ Set Zero บ่อยมากค่ะ และก็รู้สึกด้วยว่ากิเลสมันก็ค่อย ๆ น้อยลงไป โดยที่ไม่ได้ไปบังคับหรือข่มมัน มันไม่เห็นความสำคัญ ไม่อยากได้ ไม่อยากเป็นไปเอง แต่หนูก็เห็นด้วยว่ายังมีอุปทานอยู่เยอะ หนูก็จะทำความเพียรต่อไป เพราะมันเห็นแล้วว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ
ไม่ทราบว่าองค์หลวงตามีอะไรชี้แนะหนูบ้างไหมค่ะ หนูอาจจะเห็นตัวเองผิดไปจากความเป็นจริงหรือเปล่า หรือหนูควรจะกัดติดจดจ่อด้านไหนเพิ่มขึ้นอีกบ้างเจ้าค่ะ สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอบพระคุณองค์หลวงตามาก ๆ ในความเมตตาขององค์หลวงตาที่มีให้กับศิษย์ทุก ๆ คน และกราบขอบพระคุณที่หลวงตาให้โอกาสหนูได้ส่งการบ้านครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ต้องพิจารณาให้รู้แจ้งแก่ใจอยู่เนือง ๆ ว่า ………
ขันธ์ห้าเรา สามี และ ลูก รวมทั้งทุกชีวิตไม่เว้นผู้ใด ล้วนแต่ต้องเคลื่อนไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเป็นตัวตน เป็นตัวเรา ของเราที่คงที่ไม่มี
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566