ผู้ถาม : กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ
วันนี้ได้มีโอกาสฝึกฝนพากเพียรตลอดวัน (เพราะจะมีช่างมาพรุ่งนี้เลยยังไม่ได้กลับกรุงเทพเจ้าค่ะ) ได้พบสภาวะธรรมที่ละเอียดขึ้นเจ้าค่ะ
เวทนาเกิด แปรปรวนดับไป สักแต่ว่ารู้ “ด้วยปัญญา” รู้เท่าทันว่า เกิดดับไปตามเหตุปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของกายตามธรรมชาติ เวทนามีอยู่ แต่ไม่มีการยึดว่าเป็นของเรา ได้แต่รู้ว่ามี
จากจิตที่รับรู้ แค่เป็นกองรูป และกองเวทนาได้ เห็นละเอียดลงในรูป ว่าเป็นเพียงการ หมุนเวียนแปรเปลี่ยนของ ธาตุไฟ ธาตุลม คือรู้สึกถึงการทำงานของ ธาตุไฟ และ ธาตุลม โดดเด่นชัดเจนอยู่ในกาย และมีผลให้เวทนาแปรเปลี่ยนไปตามสภาวะของธาตุไฟและธาตุลมที่แปรเปลี่ยนไป
ตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆ ด้วย สติ สมาธิ ปัญญา จนเริ่มเหมือนแค่เห็น “มีสภาวะ” เกิดให้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็น กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร เหมือนจิต (วิญญาณขันธ์) รับรู้แค่ว่า มีสภาวะเกิด (การแยกแยะออกว่า เป็นกองไหนๆ เริ่มน้อยลงไปเรื่อยๆ) ปัญญาหมุนๆ ไป รับรู้แค่ว่า เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ไปเรื่อยๆๆ ไม่ยึดไม่ติดอะไรๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เจ้าค่ะ
เดินไปเดินมา มันไหลลื่นไปเรื่อยๆ เหมือนจิตไม่แวะข้องเกี่ยวกับอะไรแค่รับรู้ (โดยมีปัญญาประกบตลอดเวลา) จนกระทั่งบางครั้งรู้สึกถึงกระทั่งว่า เหมือนเหลือแค่มีจิต (วิญญาณขันธ์) ทำงาน กับ ธาตุรู้อยู่โดดๆ เป็นคู่ต่อสู้กัน ยึดหรือไม่ยึด
รู้ ไม่มีปัญญา เป็น สมมุติ (ยึด)
รู้ มีปัญญา เป็น วิมุตติ (ไม่ยึด)
รู้สึกว่า ยึด มีจิต ไม่ยึด ไม่มีจิต เจ้าค่ะ
โยมนึกถึงที่ท่านพระอาจารย์สอนไว้ว่า หน้ามือ กับ หลังมือ ถ้ามีสิ่งหนึ่ง ก็จะไม่มีอีกสิ่งหนึ่ง
ถ้าเป็น สมมุติ ก็ไม่เป็น วิมุตติ
ถ้าเป็น วิมุตติ ก็ไม่เป็น สมมุติ
มันแค่นี้เอง!!!! จริงๆๆ สำหรับการเข้าถึงธาตุรู้
โยมได้เรียนรู้จากการปฎิบัติมากขึ้นเรื่อยๆ และมั่นใจว่าฝึกฝนถูกต้องตามครรลองของอริยมรรค ใช่ไหมเจ้าคะ แต่ถ้าโยมเข้าใจอะไรยังไม่ถูกต้อง ขอท่านพระอาจารย์เมตตาชี้แนะด้วยนะเจ้าค่ะ
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ให้ใส่ใจแต่เพียงความดับไป ดับไป ดับไป ๆๆๆ.........
โดยไม่ใส่ใจหน้าเกิดขึ้น และ ตั้งอยู่ เพราะการใส่ใจทั้งหน้าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปมันยังหยาบอยู่
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563