ผู้ถาม : กราบนมัสการครับหลวงตาครับ
ใจเขาบอกว่าจะไม่เขียนสภาวะธรรมมารบกวนธาตุขันธ์องค์หลวงตาแล้วเพื่อถนอมธาตุขันธ์องค์ท่านครับ แต่พอพิจารณาถ้วนถี่เห็นว่า “เป็นประโยชน์ต่อกัลยาณมิตรทุกท่านครับหลวงตา”
ธรรมชาติแสดงตัวในธรรมธาตุไม่แสดงตัวของเขาเองครับ
ขณะไร้เจตนาทำอะไรๆ เช่นเดิมครับ
กำลังกินข้าวไม่ได้คิดอะไรๆ เลย ตาเขาดูอาหารที่ตรงหน้ารู้ว่ามีอะไรบ้าง แล้วมือก็หยิบช้อนตักน้ำพริกใส่ผักในข้าวเข้าปาก
***แค่ชั่วขณะน้ำพริกที่เผ็ดๆ ถูกลิ้น (โดยไม่กำหนดเพ่งจิตอะไรๆ)
**รู้เห็นเงียบสนิทต่อกระแสคลื่นพลังงาน (สมมติเรียกว่าจิตวิญญาณขันธ์) ที่ลิ้น (ก็ไม่บอกว่าที่ลิ้นนะครับ คือว่าไม่มีการพูดพากษ์อะไรทั้งสิ้น) มีแต่กระแสคลื่นพลังงาน เกิดวุ้บดับวุ้บรวดเร็วในความว่างเปล่าจริงๆ
เท่านั้นแหละครับ กระแสคลื่นพลังงานเกิดเองดับเองรวดเร็วทั่วอายตนะทวาร 6 ไร้ชื่อเรียก วิบวับๆ ในความว่างเปล่าพร้อมกันๆ อย่างนี้ของเขาเอง
มันไม่ใช่รส ไม่ใช่เปรี้ยวหวานมันเค็ม ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เรียกว่าอะไรๆ ทั้งนั้นเพราะกระแสคลื่นพลังงานเกิดดับ เกิดดับ รวดเร็วเหลือคณาครับ มันวางตัวกระแสคลื่นพลังงานที่เกิดดับ ยังไม่ได้ถูกให้ค่าความหมาย ความสำคัญอะไรๆ เลย ชื่อเรียกยังไม่มีเลย
หลังจากนั้นใจเขานึกถึงคำเทศนาของหลวงตา พระอริยเจ้าท่านดำรงชีวิตธาตุขันธ์อยู่กับธรรมชาติ (ขันธวิบาก 5 จนถึงทำกาละ) ที่เป็นเพียงกระแสคลื่นพลังงานวิบวับๆ ในความว่างเปล่าที่เป็นความรู้ในตัวเขาเอง
เมื่อก่อนหลงทำสารพัด เพื่อให้เป็นธรรม “อย่างเช่นชั่วขณะจิตของธรรมชาติเกิดดับ ในธรรมธาตุไม่เกิดไม่ดับของเขาเอง เขารู้เขาเองเช่นนี้” ก็เอาตัวเราไปรู้ ไปทำด้วยเจตนาจากตัวเราทั้งนั้น ทุกข์ไปหมดครับหลวงตา
ขันธ์ 5 ยังดำรงชีวิต ธาตุขันธ์ก็ดำรงด้วยธรรมชาติของกระแสคลื่นพลังงานจิตวิญญาณ
เกิดเองดับเองในความว่างเปล่าที่เป็นรู้เองอย่างอมตะ
“หยุดทำ”
กราบครับหลวงตา
หลวงตา : สาธุ
เขียนการบ้านออกมาจากใจ จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2563