ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ.. ถอดเทปช่วงปีใหม่ มีสะดุดอยู่คำนึงเจ้าค่ะ... กึ๊กเลย
ที่บอกพิจารณา ๆ พิจารณากาย พิจารณาจิต เนี่ยก็พิจารณาแล้วนี่ไง
กายคืออะไร ก็ “รูปที่ละเอียดที่สุด ที่จิตเราเอามาปรุงนี่แหละ”
“รูปที่ละเอียดที่สุด ที่จิตเราเอามาปรุงนี่แหละ”
ทุก ๆ การปรุงของจิต ก่อ “รูปกายโปร่งแสง” ขึ้นในจิตก่อน แล้วจึงออกไปเป็นคำพูด และการกระทำ... เห็นกายในกาย กายในจิต จิตในจิต จิตในธรรม ธรรมในจิต... ล้วนมาจากกิริยาตั้งต้นของการปรุงเป็นตัวเราทั้งสิ้นเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : พ้นรูปสังขารเป็นเรา เป็นเขาในจิต ที่เกิดจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จึงจะสิ้นกายโปร่งแสงที่จะกระเด็นออกมาร้องไห้หน้าศพตัวเอง แล้วยมทูตเขามาลากเอาไปพิพากษาโทษ
ผู้ถาม : ความเป็นเรา เป็นเขา ที่เกิดขึ้นในจิต ยังคงมีอยู่เท่าที่ยังมีสมมุติของขันธ์ห้ายังมีชีวิต แต่...
ไม่มีใครไปยึดความรู้สึกเป็นเรา เป็นเขา ที่โผล่ขึ้นมาทุกปัจจุบันที่ขันธ์ห้าทำหน้าที่ของมันไป...
ไม่มีใครไปยึดความรู้สึกนั้นว่าเป็น “ตัวเรา” เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา เพราะมันรู้แก่ใจว่า มันเป็นเพียงการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น.. ใช่มั้ยเจ้าคะ
เมื่อกี๊สติปัญญาที่มีเราหมุนจี๋ ๆ ๆ เลยเจ้าค่ะ มันกำลังจะพิมพ์แจกแจงถวายหลวงตา.. แต่พอหลวงตาอธิบายถึงตรงนี้ปุ๊บ... ไอ้ที่พิมพ์เมื่อกี๊เป็นปลาเน่าไปหมดเลยเจ้าค่ะ
พอถึงตรงนี้แล้ว.. ไม่มีอะไรให้ทำต่อเลยเจ้าค่ะ
มันต้องโง่ก่อน โง่แล้วโง่อีก ถึงจะตาสว่างตอนมันค่อย ๆ หายโง่เจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563