ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ หนูเรียบเรียงทำความเข้าใจได้ประมาณนี้เจ้าค่ะ
เมื่อมีสิ่งมากระทบตามอายตนะต่าง ๆ ก็มีวิญญาณขันธ์ (ผู้รู้ตัวปลอม) มารับรู้โดยแสดงอาการออกมาเป็นการคิด นึก ปรุงแต่ง ใคร่ครวญ ประมวลผล
พอรู้เท่าทันว่ามันเป็นแค่วิญญาณขันธ์ ซึ่งเป็นสังขาร… ก็วางไป
ในขณะที่วิญญาณขันธ์ทำงานจะมีผู้รู้ มารู้ตัวเราอีกที ว่าเรากำลังคิด นึก ตรึกตรอง ใคร่ครวญ ปรุงแต่ง ประมวลผล… ซึ่งผู้รู้ตัวนี้มันจะยังไม่บริสุทธิ์ เพราะจะมี ตัวเราเข้าไปผสม... กลายเป็น เรารู้แล้ว เราเห็นแล้ว เราเข้าใจแล้ว ซึ่งก็คือ ยังมี “เรา” เป็นอวิชชาอยู่
พอเห็นผู้รู้ตัวนี้ที่มีเราผสมบ่อยเข้า ๆ จนแจ้งแก่ใจว่า… มันเผลอมีเราเข้าไปอยู่เรื่อย จึงเข้าใจว่ามันก็ยังเป็น “สังขาร” ตัวนึง.... ก็วางไป ก็จะกลายเป็นผู้รู้ตัวจริงที่ไม่มีเรา (พบใจ)
แต่ปัญหาคือ… เราก็มักจะเผลอลืม (ขาดสติ) อีก หรือบางครั้งก็อยากพบผู้รู้ตัวจริง (เหมือนกับอยากให้ขวดน้ำหยุดกระเพื่อมถาวร) ทำให้หลงมี “เรา” ในผู้รู้อีกครั้ง
จนในที่สุดการที่มีสติ ปัญญา สังเกตพบ “เรา” ในผู้รู้บ่อย ๆ เข้า และปล่อยวางบ่อยเข้า ๆ ซึ่งช่วงนี้เปรียบเหมือนมีเครื่องประมวลผลทำงานตลอดเวลา... จึงกลายเป็น “ถึงใจ” คือไม่มี “เรา” ในผู้รู้ อีกแล้ว
ดังนั้นเครื่องประมวลผลจึงหยุดทำงาน คือไม่มีการไล่รู้ ไล่ละอะไรอีกแล้ว มีแต่ความรู้เพียงอย่างเดียวว่า ตอนนี้ว่างงานแล้ว ขวดน้ำได้ถูกวางไปแล้ว
ถ้ามีส่วนใดที่ยังเข้าใจผิดอยู่ กราบขอความเมตตาหลวงตาชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ให้ใจเป็นธรรมแท้จริงอย่างที่เข้าใจ นะ !
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563