ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาค่ะ ขอโอกาสเล่าการปฏิบัติค่ะ
พิจารณาร่างกาย ผ่าร่างกายแยกอวัยวะออกเป็นส่วน ๆ แล้วเอาไปเผาไฟ จะมีส่วนที่เผาไม่ติดไฟก็จะเป็นกระดูก กระดูกไม่ติดไฟ ไฟลุกท่วมกระดูก แต่กระดูกไม่ยอมไหม้ไฟ อวัยวะส่วนอื่น ๆ ดำไหม้ไปหมดเป็นขี้เถ้า มีแต่กระดูกไม่ติดไฟ ลองเผาใหม่อีกหลายครั้ง เหมือนว่าต้องเผาทิ้งไว้หลายวัน แล้วกลับไปดู นับวันไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ วัน
พอกระดูกเริ่มไหม้ดำ แต่กระดูกก็ไม่ยอมเป็นขี้เถ้าทั้งหมด เลยเผาทิ้งไว้ค่อยกลับมาดู ในที่สุดกระดูกก็พังเป็นขี้เถ้าถ่าน พอทุกสิ่งอย่างถูกเผาหมด แล้วเอาขี้เถ้าไปทิ้ง บอกว่ามาจากดินกลับคืนสู่ดิน ตอนที่จิตใจเห็นว่าร่างกายไม่เหลืออะไรเลย ใจมันจะเเปลก ๆ ใจมันจะวาบนิด ๆ เหมือนปลง ๆ นิด ๆ
ตอนที่กำลังผ่าแยกชิ้นส่วนร่างกายอยู่นั้น พอผ่านไปสักพักหนึ่ง มันจะแปลก ๆ คือ ตาจะปิดอยู่เรื่อย ๆ พอลองปิดตาดู เหมือนมันเข้าสมาธิ พอเข้าสมาธิมันก็ไม่คิดเรื่องพิจารณากาย แต่ก็ระลึกได้ว่า ถ้าเข้าสมาธิก็จะพิจารณากายไม่เสร็จ ก็เลยไม่ยอมเข้าสมาธิ ไม่ยอมปิดตา ฝืนไว้
พิจารณาตาย เน่า เปื่อย ผุพัง เหมือนว่าเป็นภาพตัวเองตายติดตา แบบว่าพองอืด คล้ำ ๆ เป็นภาพติดตา ไปไหนมาไหนภาพจะตามไปด้วย แต่บางครั้งก็หลุดไป นึกขึ้นได้ก็จะกลับมา นึกไปหลายวันแล้วมันก็จะเปลี่ยนเป็นอีกเเบบคือ เป็นภาพที่คล้าย ๆ เหมือนว่าเรายืนดูตัวเองตาย แล้วมันแสดงให้ดู ตาย เริ่มพองอืด คล้ำ เน่า มีหนอนชอนไช เนื้อเริ่มเปื่อย ๆ เผละหลุดจนเหลือแต่กระดูก ภาพที่แสดงให้ดูจะหยุดคาไว้ตรงกระดูก เหมือนไม่แสดงให้ดูต่อ
จะมีปัญหาตรงกระดูกคือ กระดูกไม่พัง ไม่สลาย จากนั้นก็จะเป็นภาพนิ่งกระดูกติดตามไปด้วย แต่จำได้ว่าหลวงตาบอกว่ากระดูกก็ไม่ให้เหลือ ไม่อยากเอาไปเผา ก็เลยทำให้มันแตกลายงา เหมือนที่หลวงตาเคยบอก แต่มันเหมือนไปทำอีกแบบ คือ ทำให้กระดูกเป็นผุยผง
เหมือนกับว่ามันเพ่ง จ้อง ดูไปที่โครงกระดูก แล้วกระดูกค่อย ๆ เลื่อนลงมาเป็นผุยผง แต่เหมือนจะปวดหัวนิด ๆ เพราะไปเพ่ง ๆ จ้อง ๆ ที่กระดูก พอรู้สึกตัวว่าเพ่งก็คลายออก
ในครั้งแรกที่ทำพอลองทำครั้งต่อไป มันจะคล้าย ๆ ว่ามันไม่ต้องเพ่งจ้องกระดูกมากเหมือนครั้งแรก จะเป็นอีกแบบคือ เป็นภาพกระดูกที่ค่อย ๆ สลายเป็นผุยผง เหมือนภาพเคลื่อนไหว ไม่แน่ใจว่าการเพ่งกระดูกเช่นนี้ถูกหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าปวดหัวนิด ๆ
บางครั้งเวลาพิจารณาตัวเองตาย เน่า เปื่อย ผุพัง หากว่ายังพิจารณาไม่เสร็จ เช่น เนื้อยังหลุดออกไม่หมด และไม่ได้พิจารณาต่อเพราะมีเหตุว่าต้องหยุดทำไปก่อน มันก็จะเป็นภาพสุดท้ายที่พิจารณาค้างไว้ ติดอยู่ที่ตาเป็นภาพนิ่ง เหมือนกับว่ารอให้ไปพิจารณาต่อให้เสร็จ บางครั้งเหมือนกับว่า ภาพนิ่งนั้นเอามาพิจารณาต่อเป็นภาพที่เคลื่อนไหว เคลื่อนที่ได้
ตรงจุดนี้อธิบายยาก เหมือนกับว่า ภาพนิ่งกระดูกกับอีกภาพกระดูกกำลังสลายตัวเป็นผุยผง มันไม่เหมือนกัน
บางครั้งเวลาที่แยกชิ้นส่วนออกหรือพิจารณาตาย เน่าเปื่อย มันจะรู้สึกเหมือนจริงมาก เหมือนมันเกิดขึ้นกับร่างกายจริง ๆ จะมีอาการเสียว ๆ ขนลุก ที่ตัวร่างกายจริง ๆ บางครั้งก็ไม่ได้พิจารณาอะไร ได้แต่ไล่ดูอวัยวะภายนอกภายใน
ช่วงแรก ๆ ก่อนเริ่มพิจารณาร่างกาย เนื่องจากว่าจิตมันเเส่ส่ายมาก เลยลองฝึกบริกรรมพุทโธ ตอนแรกมันไม่ค่อยจะอยากพุทโธ ต้องบังคับและประคับประคองให้พุทโธ
พุทโธ ผ่านไปวันที่ 1 วันที่ 2 พอวันที่ 3 แปลกไป ลืมตาตื่นนอนจิตมันบริกรรมพุทโธเอง แต่เป็นพุทโธที่เร็วมาก เร็วปรื๋อ ถี่ยิบติดกันแบบไม่มีช่องว่าง เร็วเหมือนคนยิงปืนไม่ยั้ง ทีนี้หยุดไม่ได้ อยากให้หยุดบริกรรม มันไม่หยุด หยุดไม่ได้
เหมือนกับว่าเราหยุดบริกรรมพุทโธแล้ว แต่จิตไม่ยอมหยุดบริกรรม มันก็เลยเหมือนกับว่า อีกตัวบริกรรมพุทโธไป อีกตัวก็เป็นผู้ดู
กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาให้โอกาสส่งการบ้าน
หลวงตา : มีสติ สมาธิ ปัญญา ความเพียร รู้แจ้งในสัจธรรมความจริงที่ส่งการบ้านอย่างนี้ให้ต่อเนื่อง แล้วจะสิ้นสงสัยเอง
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2563