ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา เมื่อวานมีปริศนาธรรมที่ลูกไม่เข้าใจด้วยใจเจ้าค่ะ
เมื่อวานมีเหตุให้โถมเข้าไปช่วยคนในโลกอีกแล้วเจ้าค่ะ กลับมานอนป่วยหนักอีก แทบตายเลยจริง ๆ ทรมานมาก จนตัดพ้อ บ่น ๆ ขึ้นมาว่าไม่ได้ไปทำบาปทำกรรมอะไรเลย ก็แค่ทำในสิ่งที่ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยให้โลกมันดีขึ้น ทำไมจึงทำไม่ได้
ก็มีเสียงธรรมตอบออกมาว่า "ท่านไปทำแบบนั้นไม่ได้หรอก"
"เพราะอะไร ทำไมเราจะทำไม่ได้ ?"
"...มันหมดเวลาแล้ว ที่จะไปช่วยคนอื่นแบบนั้น ที่จะละทิ้งความรู้โดยปราศจากการยึดถือแทรกแซง แล้วเข้าไปช่วยผู้อื่น... มันหมดเวลา..."
พอถามต่อว่า อะไรคือหมดเวลา หมดเวลาคืออะไร ท่านก็ไม่ตอบ เลยถามกลับว่า "แล้วท่านเป็นใคร ถึงมีอำนาจสั่งเราได้ แล้วเรายังต้องทำตามท่านแบบขัดขืนไม่ได้อีก"
เสียงนั้นก็ตอบว่า "เราก็คือท่านไง"
พอมาถึงตรงนี้ มันไม่เข้าใจถึงใจเลยเจ้าค่ะว่า เสียงที่สั่งเรา... จะเป็นเราได้อย่างไร
แต่พอจะเข้าใจได้ด้วยสัญญาว่า ตัวเราทั้งหมดที่เป็นตัวเรา มันเป็นสิ่งที่ "ไม่ใช่พระธรรมนั้น" วันนึงมันก็ต้องดับสนิท ถึงแม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม แต่พระธรรมที่ตอบไม่เกิดไม่ตาย แต่ที่พระธรรมบอกว่า "เราก็คือท่าน" มันคืออย่างไรเจ้าคะ ?
ลูกขบปริศนานี้ไม่แตกจริง ๆ (ด้วยใจนะเจ้าคะ ถ้าด้วยความคิดความจำ มันพอจะเดาได้อยู่)
หลวงตา : ธรรมปรากฏว่า "เราก็คือท่านไง" คือ ใจ-พุทธะ ที่ไม่เคยเกิดตาย จึงรู้จักเรา (สังขาร-สมมุติ) ทุกภพชาติ ทุกปัจจุบันขณะ
ผู้ถาม : แต่ธรรมที่กลับมาสอนที่มาจากพุทธะ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรู้สึกได้ว่าเป็นเราเลยนะเจ้าคะหลวงตา
ยังไงก็ไม่ใช่เราแน่ ๆ หรือความไม่ใช่เรา คือ สิ่งจริงแท้ แต่สิ่งที่เคยรู้สึกว่าเป็นเราทั้งหมด เป็นของที่ไม่จริง
ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องปฏิบัติเลย เพราะตัวเราที่ปฏิบัติ มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงเลย แต่ก็ยังต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นทาสของพุทธะ ทาสของพระธรรมหรือเจ้าคะ ผู้ที่ดำรงอยู่โดยเป็นทาสของพุทธะและธรรมะ แต่ไม่ได้เป็นทาสของความต้องการในใจตน คนผู้นั้น ก็คือ "พระสงฆ์" ใช่ไหมเจ้าคะ
ความ "เป็นธรรม" โดยแท้จริงคือ การถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ครบองค์รัตนตรัยที่ใจ คือ เป็นหนึ่งเดียวกัน ออกมาจากสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่เพียงแค่การนับถือ และลึกซึ้งกว่าคำว่าศรัทธา เพราะแม้แต่ศรัทธาก็ยังมีตัวผู้ศรัทธาอยู่ จึงไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง
ลูกเข้าใจความผิดพลาดที่ผ่านมาแล้วเจ้าค่ะ การปฏิบัติและรู้ธรรมทั้งหมดมันเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ในใจตน มันมีตัวเองรองรับ แต่ไม่ได้ทำไปเพื่อเป็นทาสพุทธะและธรรมะเจ้าค่ะ
ดังนั้น ถึงจะแสดงธรรมออกไปจากการเชื่อมต่อกับธาตุรู้ในธรรมชาติได้ ธรรมที่แสดงมันเป็นธรรมจริง ๆ แต่ตัวเองกลับไม่ได้เป็นธรรม คือ ยังปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ให้ตนเองอยู่ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อถวายให้แด่สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน
มันจึงยังออกจากอัตตา การดำรงชีวิตอยู่ด้วยอัตตาและเอาอัตตาไปช่วยผู้อื่น เป็นแบบนี้ใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา กลับด้านมาตลอดเลย
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2563