ผู้ถาม : น้อมกราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ อนุโมทนากับคุณแม่หมออีกครั้งเจ้าค่ะ กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ
ฟัง ๆ จนถึงตอนท้ายที่หลวงตาอธิบาย มัน yes จากใจนะคะหลวงตา
พอตอนที่หลวงตาบอกว่าละสังโยชน์ ข้อ 9, 10 ความคิด (ปรุงแต่ง) ผุดขึ้นมาว่า ไม่อยากมโนตู่เอา ธรรมบริสุทธิ์ มันมีแว็บนึงขึ้นมาเจ้าค่ะบอกว่า ศีลข้อสามเราไม่บริสุทธิ์ (พรหมจรรย์) ขออนุญาตเจ้าค่ะ
ใจที่พ้นจากสังขารปรุงแต่ง มันจะเหมือนกินข้าวอิ่มมั้ยเจ้าคะ (แค่คำเปรียบอธิบาย) เจ้าค่ะ
เหมือนต่อให้มีอาหารสีสัน อร่อย ดีแค่ไหน ใจมันก้อแค่รับรู้ (อุเบกขาสัมโพชฌงค์) ใจมันไม่อยากไปกินข้าวอีกแล้ว ใจมันรู้ทัน ผู้รู้ จิต (สังขาร) อย่างตรงไปตรงมา โดยที่ไม่รู้สึกว่ามีตัวเรายินดีกับใจที่สงบ … นั้น
"~สภาวะปัจจุบันเจ้าค่ะ ~"
เวลาฟังธรรมที่หลวงตาสอน เหมือนโอ่งมันเปิดฝารอรับตลอดเจ้าค่ะ ขอหลวงตาเมตตาเพิ่มเติมเจ้าค่ะ
สาธุค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่เมตตาอย่างสูงเจ้าค่ะ ขออนุโมทนากับคุณแม่หมออีกครั้งค่ะ ชัดเจนถึงใจเจ้าค่ะ สาธุค่ะ
หลวงตา : “มันจบลงที่ ไม่มีตัวตนของเราอยู่จริงในจิตดั้งเดิมแท้”
มันก็สิ้น “อวิชชา” ที่ติดมากับจิตแต่เดิม
เหลือจิตบริสุทธิ์ เรียกว่า “นิพพาน” หรือ “พุทธะ” หรือ..... (แล้วแต่จะตั้งชื่อสมมติให้เป็นสากล) ซึ่งเป็นอมตธาตุ อมตธรรม
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หญิง ชาย
ความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้มันเป็นแค่สังขาร หรือ ขันธ์ห้า
แต่จิตบริสุทธิ์ มันพ้นสังขาร มันจึงไม่มีความยึดถือ ไม่มีความกังวลในเรื่องเกี่ยวกับเพศหญิงหรือเพศชาย
ส่วนขันธ์ห้าก็ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ถูกต้อง ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เป็นทุกข์เดือดร้อน (ไม่ทำผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย)
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563