ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา มันมีช่วงเวลาที่สัมผัสความจริงด้วยใจ และถ่ายถอนสิ่งที่มันเคยเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นทีก็ร้องไห้ทีเหมือนคนบ้า บางทีก็บรรยายไม่ได้ว่ามันรู้อะไร มันถอนอะไร มันอาลัยอะไร
แต่ความรู้สึกในใจลึก ๆ มันเหมือนกับคนที่กำลังสูญเสียทุกสิ่งที่มีโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มีแต่คำพูดที่ถามตัวเองว่า "จะอยู่อย่างไร จะอยู่แบบนั้นได้อย่างไร มันไม่เหลืออะไรแล้ว สูญหมดสิ้น"
แล้วมันก็สัมผัสในสิ่งที่มัน "ไม่มีอะไรเลย"
กว่าจะบังคับให้ใจมันลืมตาตื่นเห็นความจริงได้ มีดวงตาเห็นธรรม เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่มีตัวไม่มีตน ก็ว่ายากแล้ว ตอนกว่าที่ใจจะยอมรับความจริงที่เห็นซ้ำ ๆ นี่ ทรมานกว่าอีกเจ้าค่ะ ความดิ้นรนยึดถือนี่มันเหนียวแน่นนัก มันไม่ยอมเสียสิ่งที่มันรู้สึกว่ามันเคยมีเคยเป็นไปง่าย ๆ
แต่ความจริง ... มันก็คือความจริง มันอยู่อย่างเปิดเผย แสดงสัจธรรมอยู่ตลอดเวลา
… จะไม่ยอมรับได้อย่างไร ...
หลวงตา : “สิ่งสิ่งนั้นมีอยู่” แต่.......
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หญิง ชาย
ไม่ใช่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
ไม่ใช่อรูปฌาน
ไม่มีอะไรปรากฎ ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง ไม่อาจคิด ไม่อาจปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกทำลาย
ไม่ใช่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะหรือสิ่งสัมผัส และ ธรรมารมณ์ (กิริยาจิตหรืออาการของจิต) จึงไม่อาจถูกรู้ได้ทางประตูตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไม่อาจใช้ความคิด ความปรุงแต่ง ความพยายามดิ้นรนทะยานอยาก เพื่อไปให้ถึง ให้ได้ ให้เป็นสิ่งสิ่งนั้นได้ เพราะสิ่งสิ่งนั้นพ้นสังขาร
จึงไม่มีผู้เดินทางไปข้างหน้า ไม่มีผู้หันกลับ ไม่มีผู้หยุดนิ่ง
ไม่มีผู้ถึง ไม่มีผู้ได้ ไม่มีผู้เป็น ไม่มีผู้บรรลุ
ไม่มีผู้มีอวิชชา ไม่มีผู้มีวิชชา
ไม่มีผู้เป็นโลก ไม่มีผู้เป็นธรรม
สิ่งสิ่งนั้นเป็นที่สุดแห่งทุกข์ “เอโกธัมโม”
ผู้ถาม : กราบแทบเท้าหลวงตา สุดยอดของคำอธิบาย ขยายความชัดเจน เหมือนส่องกล้องขยาย
สาธุ น้อมรับธรรมอันเป็นที่สุด
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563