ผู้ถาม : กราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ หนูเนสัชชิกเมื่อคืนนี้ ทำให้เห็นเลยเจ้าค่ะว่า ร่างกายมันสัปหงก แต่ความรู้ไม่เคยหายไปเลยเจ้าค่ะ มันไม่ได้หลับด้วยเลยเจ้าค่ะ ร่างกายง่วงสัปหงกแต่ความรู้ไม่ง่วง
แล้วความรู้ชัดตอนเดินจงกรม เห็นชัด ๆ เลยว่าความง่วงนี่มันง่วงไม่จริงเจ้าค่ะ โดนมันหลอกเอาเจ้าค่ะ พอรู้ว่ามันหลอกเอานี่มันจะง่วงยังไงนี่มันแยก ผั๊วๆๆ เลยเจ้าค่ะ ที่หลงว่าง่วง ๆ นี่หายเกลี้ยงไปเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวง่วงมาใหม่ก็เหมือนเมฆมาคลุมใหม่ ใจมันตื่นสลัดขาดกระเด็นเลยเจ้าค่ะ มันสลัดเองเพราะความรู้ว่าของเขาหลอกเอาเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : แต่ที่หนูแปลกใจ คือ ใจที่ตื่นตอนนั้นมันมีกำลังมากเลยเจ้าค่ะ สว่างไสวเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ฉายไปในที่มืดเลยเจ้าค่ะ เหมือนเวลากลางคืนกลายเป็นกลางวันเลยเจ้าค่ะ
หนูพอจะรู้แล้วเจ้าค่ะว่าจะพิจารณาอวิชชาอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ในนี้เจ้าค่ะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : “ความง่วง” เป็นทุกขเวทนา เป็นอาการของขันธ์ห้า เป็นสังขาร เกิดดับ
ส่วนที่ “รู้” ความง่วงขึ้นมาเอง โดยไม่คิด และ ไม่มีเจตนารู้ เป็นจิตเดิมแท้ หรือ จิตดั้งเดิมตั้งแต่กำเนิดจิต ธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุขึ้นมาในจักรวาล เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ เป็นอสังขตธรรม ไม่เกิดดับ
ความคิด ความง่วง หรือ อารมณ์ที่ถูกรู้ทั้งหมด รวมทั้งผู้รู้ตัวปลอม เป็นสังขาร (ปรุงแต่ง) ย่อมเกิดดับ
“อวิชชา” คือ ความหลงยึดถือจิตดั้งเดิมหรือจิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นตัวเรา เป็นของ ๆ เรา มาตั้งแต่กำเนิดจิตขึ้นมาในธรรมชาติ หรือ ในจักรวาล
ถ้าสักแต่ว่ารู้ขึ้นมาเอง โดยไม่คิด และ ไม่เจตนารู้ จะเป็นจิตดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ตามธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของ และ
ถ้าไม่มีอวิชชา คือ ไม่หลงยึดถือใจหรือจิตเดิมแท้เป็นตัวเรา หรือ เป็นของของเรา
ใจหรือจิตเดิมแท้ จะเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ เรียกว่า “นิพพานธาตุ หรือ นิพพาน”
ผู้ถาม : เจ้าค่ะองค์หลวงตา ขันธ์ห้าไม่ใช่กิเลสไม่ใช่นิพพาน เวทนา หรือความง่วงเป็นธรรมชาติธรรมดาของขันธ์ห้า "รู้" ที่รู้ขึ้นมาเองก็เป็นธรรมชาติของรู้ ความง่วงก็เป็นเพียงอาการผ่านมาผ่านไป หากไม่มีผู้หลงยึดถือความง่วง ง่วงไม่ดี ไม่ง่วงดี ก็ไม่ได้เป็นกิเลสอะไร
“ผู้หลงยึดถือ” นั่นเองคืออวิชชาเจ้าค่ะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะองค์หลวงตา
หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : ตอนที่อ่านการบ้านโยมที่องค์หลวงตาแชร์มาก่อนหน้านี้
ข้างในมันรู้ขึ้นมาเองเลยเจ้าค่ะว่าจิตเยื่อใยจิต เพราะจิตเขาไม่เคยกล่าวเท็จเจ้าค่ะ
แต่รู้ก็รู้ในใจอยู่ว่า ความเยื่อใยเองก็ไม่ได้มีตัวตนคงที่อยู่จริง ๆ เจ้าค่ะ นี่คงเป็นการบ้านที่ต้องทบทวนแก่ใจต่อไปเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
ตัวตนผู้เยื่อใยต่างหากที่ไม่มีอยู่จริงเจ้าค่ะองค์หลวงตา
หลวงตา : ตัวตนผู้ยึด ผู้เยื่อใย ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงมายา
ผู้ถาม : จิตเดิมแท้ เค้ามีหน้าที่รู้อยู่แล้ว ถึงเราคิด หรือทำเป็นหยุดคิด ทำเป็นรู้โดยไม่คิด จิตเดิมแท้เค้าก็รู้เราตลอด
Keyword จึงอยู่ที่… ในจิตเดิมแท้นั้น ไม่ได้มีเราเป็นตัวเป็นตนอยู่ ไม่ได้เป็นของเรา
เพราะความเป็นเรามันเป็นแค่ความคิด เมื่อไม่มีเราอยู่จริงก็ไม่มีใครที่จะไปยึดจิตเดิมแท้ได้ และเพราะจิตเดิมแท้คือความไม่มีอะไรเลย มันก็ไม่มีอะไรไปยึดมันได้
แต่เพราะความเข้าใจผิดเท่านั้นเจ้าค่ะ จึงมีความพยายามช่วยทั้ง ตัวเรา และจิตเดิมแท้ให้สะอาด บริสุทธิ์ ให้มันเป็นรู้เฉย ๆ รู้โดยไม่คิด ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วจิตนั้นก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์ตลอดเวลาอยู่แล้วเจ้าค่ะ
ดังนั้นเมื่อรู้แล้ว เข้าใจแล้ว จึงไม่มีใคร … ต้องทำอะไร … เพื่อช่วยสิ่งใด ...ให้เป็นอะไร มีแต่ธรรมชาติเจ้าค่ะ
ทุกสิ่งเป็นเพียงมายาที่หลอกกันมาหลายภพหลายชาติ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2563