ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาพิจารณาฐานจิตและธรรมเป็นส่วนใหญ่ และครูบาอาจารย์หลายท่านเคยบอกไว้ว่าเมื่อดูฐานจิต มันเลยฐานกาย (กายคตาสติ พิจารณาดูปัญจกกรรมฐาน พิจารณาอสุภะ อาการสามสิบสอง ฯลฯ) มาแล้ว อย่าเอามาปนกัน ถ้าหากจะพิจารณาควบคู่กัน จะช่วยให้ปลงปล่อยวางเร็วขึ้นหรือจะเป็นเครื่องทำให้ล่าช้าตีกันหรือไม่เจ้าคะ คือว่าที่ผ่านมาเคยพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้ว เห็นเป็นเพียงธาตุมาประกอบกันแปรเปลี่ยนไปมา และแต่ละส่วนในร่างกายเป็นเพียงอณูเล็กๆ ที่วิ่งเคลื่อนที่ไปมาได้ในที่ว่าง แล้วสลายหายไปกับธรรมชาติภายนอก (ซึ่งเห็นเป็นอณูเล็ก ๆ เคลื่อนที่ได้ในที่ว่างมหาศาลและมีคลื่นพลังงานในที่ว่างเหมือนในกาย) จิตก็เป็นเพียงพลังงานเท่านั้น ไม่มีอะไร หลังจากนั้นก็เน้นดูจิตเกิด ดับ ว่างจากตัวตน จนกระทั่งเริ่มได้มีโอกาสกราบเรียนถามธรรมหลวงตาทางไลน์เมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ถ้าอย่างนี้แล้ว ยังควรพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อสุภะ อาการสามสิบสอง ควบคู่กับการพิจารณาจิตและธรรมอีกหรือไม่เจ้าคะ กราบองค์หลวงตาช่วยให้ความกระจ่างเจ้าค่ะ หลวงตา : การพิจารณาก็คือให้เห็นความจริงว่า สังขารกาย และสังขารจิตไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเห็นความจริงจนถึงใจ ใจก็ปล่อยความหลงยึดมั่นถือมั่น เมื่อสิ้นยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดมั่นถือมั่นทั้งกายและจิต ว่างเปล่า (จิตเดิมแท้หรือใจหรือธาตุรู้) เมื่อไม่มีผู้เสวยความว่างเปล่านั้น ก็สิ้นกิเลส พ้นทุกข์ (นิพพาน) แต่มีบางท่านที่เห็นว่า ไม่มีตัวตนของเรามาแต่แรก ซึ่งความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ของเรา นั้น ไม่ได้มีมาแต่แรก แต่มาคิดปรุงแต่งรู้สึกขึ้นมาในภายหลัง ผู้ถาม : ถ้าเช่นนั้น สามารถเน้นพิจารณาฐานจิตและธรรมอย่างที่ทำอยู่ โดยไม่ได้เน้นพิจารณาฐานกายอย่างเคย ไม่เป็นเครื่องเนิ่นช้าใช่มั้ยเจ้าคะ (อาจเอาภาพอสุภะมาดูบ้างเป็นครั้งคราว แล้วย้อนดูใจว่ายังมีตัวเราหลงในสังขารปรุงแต่งหรือไม่ ) หลวงตา: ถ้าสิ้นผู้เสวยทั้งสังขาร และ วิสังขาร ก็พ้นทุกข์ได้หมด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560