ผู้ถาม : เห็นทุกสิ่งเป็นสังขาร แม้ส่วนที่ละเอียด คือ ความคิดที่ตัวเราเอาไปคิดพิจารณา เพื่อปล่อยวางสิ่งอื่น ๆ ตรงนี้เห็นเป็นสังขาร ลงแก่ใจแล้ว ใจมันปล่อยสังขารตัวนี้ลงได้ แต่มันเหลือ ตัวความว่างที่ปล่อยวางผู้อื่นคาไว้เจ้าค่ะ ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย เหลือคาคงที่อยู่ จะพิจารณาให้มันคืนธรรมชาติ มันก็ไม่คืน พิจารณาเกิดดับก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีรูปร่าง มันคงอยู่เป็นความว่างตลอดเวลา ไม่เกิดไม่ดับ ตัวความคิดที่เอามาพิจารณา เจ้าตัวนี้ มันเห็นเป็นสังขารไปหมด ไม่อาจลงแก่ใจได้ มันเลยเหลือว่าง ๆ เปล่า ๆ คงที่ คาอยู่ แถมมันรู้สึกว่า เป็นตัวเราชัด ๆ เลย ลูกหมดปัญญาจะพลิกแล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา : มันมีตัวเราอยากให้กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ผู้ถาม : รู้แล้วเจ้าค่ะ ตัวที่ยึดความว่าง เป็นสังขารอันละเอียด แต่มันไม่อาจถูกเห็นได้ เพราะมันกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันกับความว่างของจักรวาล มันไม่มีรูปร่าง ไม่อาจเอาสิ่งใดไปเห็นมันเหมือนเห็นสังขารอื่นได้ วิธีเดียวที่อวิชชาจะถูกเห็น คือ "ปัญญา" ที่ย้อนทวนกลับมา "รู้" ว่ามีสิ่งหนึ่งยึดความว่างอยู่ เมื่อ "รู้" จนชัดเจน มันจะเปลี่ยนจาก "รู้" เป็น "รู้แก่ใจ" แล้วมันก็ปล่อยตัวมันเอง วิสังขารไม่ใช่ตัวมัน มันเป็นสังขาร ที่แท้มันใช้สังขารเพื่อปล่อยวางสังขารหรอกหรือเจ้าคะ
แม้แต่การปฏิบัติ การเดินความเพียรทั้งหมด ก็เป็นสังขารทั้งหมดเลยใช่ไหมเจ้าคะ รวมทั้งความรู้สึกว่าตัวเรายึดถือ หรือ ตัวเราปล่อยวาง ตัวเรากำลังจะรู้ความจริงบางอย่าง ... สิ่งนี้ก็หลอกใช่ไหมเจ้าคะ มันโง่จริง ๆ ทำไมถึงได้โง่แบบนี้ ของอยู่ตรงหน้าเป็นเส้นผมบังภูเขาแท้ ๆ มองไม่เห็นเลย ความไม่ปรุงแต่ง มันมีที่ไหน มีแต่ความปรุงแต่งเท่านั้นที่ปรากฏได้ เห็นการไม่ส่งออกนอก และ ไม่สยบติดภายใน ไม่ยึดปัจจุบัน ในขณะจิตหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ ที่แท้ที่ผ่านมามันสยบติดภายในอยู่ แล้วไม่รู้นี่เอง แต่แป๊บเดียวกลับไปสยบติดภายในอีกแล้ว มันยึดนิพพานใช่ไหมเจ้าคะ ร้ายจริง ๆ เป็นตาม step ที่หลวงตาบอกเลย ความโง่ ความยึดถือ กับ สติปัญญา ปล่อยวาง มันชิงไหวชิงพริบกันอยู่เจ้าค่ะ ไวมากจริง ๆ กิเลสก็ละเอียดเข้า ๆ สติปัญญามันก็แรงกล้าอยู่ ไม่ยอมอ่อนกำลัง ไม่มีใครยอมใคร นี่จะยืดเยื้อไปอีกนานไหมเจ้าคะ ไม่ต้องหลับต้องนอนกันแล้ว
หลวงตา : สาธุ สมกับเป็นลูกของตถาคต เพียรให้จริง คนจริง เพียรจริง ย่อมรู้จริง เห็นจริง เป็นจริง
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561