ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ลูกไม่รู้จะทำให้หายโง่อย่างไรแล้ว ทำให้มันเลิกเองไม่ได้เจ้าค่ะ จนปัญญาจริง ๆ เจ้าค่ะ ที่สำคัญคือ มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยากพ้นทุกข์ รู้ได้เฉพาะเวลามันมีความพยายามอะไรขึ้นมา เช่น มันปรุงความน้อยใจวาสนาตัวเองขึ้นมา ซึ่งนั่นมันก็คือความอยากจะเอาเจ้าค่ะ ลูกขอกราบขอขมาองค์หลวงตาอย่างสูงเจ้าค่ะ ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนและปล่อยวางตามที่องค์หลวงตาชี้ไม่ได้สักทีเจ้าค่ะ
หลวงตา : ด้วยการไม่พยายามปล่อยวางให้ได้
มันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นแค่สังขารปรุงแต่ง
ไม่ต้องไปพยายามทำอะไรกับสังขาร
ปล่อยให้สังขารปรุงแต่งเป็นไปอย่างที่เขาเป็น
ใจหรือจิตเดิมแท้ หรือ วิสังขาร หรือ สุญญตา ก็คงก็เป็นธรรมชาติที่เงียบ สงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่งของเขาเอง ไม่มีใครบังอาจไปปรุงแต่งให้เขาสงบจากความปรุงแต่งได้
ยิ่งพยายามให้ใจเป็นธรรมชาติที่สงบ ว่างเปล่าจากตัวตน เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง กลับหลงสังขารปรุงแต่ง
ปล่อยให้สังขารทุกปัจจุบันขณะเขาจะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นธรรมชาติของเขา ไม่เกี่ยวกับเราหรือตัวเรา เพราะตัวตนของเราไม่มีมาตั้งแต่แรก
ที่มีความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา จะต้องพยายามกระทำอะไร เพื่อช่วยให้ตัวเราถึง ตัวเราได้ ตัวเราเป็นอะไร มันจะหลงยึดถือสังขาร เป็น อวิชชา เรื่อยไป
ธรรมชาติแท้ ๆ ไม่มีตัวตนของเรา หรือ ไม่มีตัวจิตตัวใจหรือตัวเราไปอะไร ๆ กับสังขาร และวิสังขาร
เมื่อสิ้นตัวตน หรือ สิ้นตัวจิตตัวใจไปอะไร ๆ กับอะไรในปัจจุบันขณะ ใจหรือจิตเดิมแท้เขาก็เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ว่างเปล่า เป็นธรรมชาติดั้งเดิมแท้ของเขา ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีปรุงแต่ง เป็นความสงบ ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของวิสังขารหรือธาตุรู้หรือธรรมธาตุ หรือ สมมติชื่อว่าใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ
ความสงบ ความไม่เคลื่อนไหว ความไม่ปรุงแต่งของใจหรือจิตเดิมแท้ ๆ จึงจะหลุดพ้นจากสังขาร หรือ ความปรุงแต่งเป็นเรา ตัวเรา ของเราได้
ไม่ใช่หลงเอาสังขารไปพยายามให้หลุดพ้นจากสังขาร หรือ ความทุกข์
ผู้ถาม : น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า โยมรู้แล้ว เห็นแล้ว สภาวธรรมเองก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวรู้ เดี๋ยวหลงเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2561