ผู้ถาม : หลวงตาครับ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมสงสัยมานานว่า อยู่ดีๆ อวิชชามาจากไหน จากที่หลวงตาวิสัชนามาก็ทำให้รวบเข้าใจได้เลยว่า เพราะ "อวิชชามาพร้อมจิต" จึงไม่ต้องสงสัยอะไรอีก เพราะที่มีจิตได้ก็ต้องแปลว่ายังมีอวิชชา
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามอวิชชาสิ้นไป จิตก็ย่อมสิ้นไปด้วย เป็นความไม่มีอะไร อย่างที่หลวงตาเคยบอกว่า "ไม่มีแม้แต่ตัวใจ" กลายไปเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของจักรวาล หรือกลืนหายไปกับความว่าง ดังนั้นจึงไม่สงสัยว่า ทำไมต้องมีอวิชชามากับจิต เพราะมีจิตอยู่จึงต้องมีอวิชชาแน่นอน ถ้าจะไม่ให้มีจิต ก็ต้องไม่มีอวิชชามาแต่แรก
แต่สิ่งที่ยังสงสัยอยู่ คือว่า ถ้าสิ้นอวิชชาในขณะที่ธาตุขันธ์ยังไม่แตกดับ ตามความเข้าใจนี้ จิตก็จะต้องไม่มี เพราะเมื่อไม่มีอวิชชาแล้ว ก็จะต้องไม่มีจิต แต่มันจะมาขัดตรงว่า ที่กล่าวว่า จิตเดิมแท้ หรือ ธาตุรู้ เปรียบเหมือนความว่างของจักรวาล แต่ไม่ใช่ว่างเปล่าเพราะมีความรู้อยู่ในตัวเอง คือ เป็นความรู้ที่เป็นที่รองรับของสังขารที่ต้องมาเกิดดับที่ธาตุรู้นี้ เลยสงสัยว่า หากสิ้นอวิชชาในขณะที่ขันธ์ยังไม่ดับ "ความรู้" ในธาตุรู้เดิมนั้นยังคงมีอยู่ รองรับการเกิดดับของสังขารหรือไม่?
ซึ่งถ้าตอบว่า "มี (มีความรู้)" ก็แปลว่ามันไม่ได้หายไปแบบไม่รู้อะไรเลย เหมือนความว่างภายนอก แต่ธาตุรู้คงทำหน้าที่ของวิสังขารที่มีความรู้อยู่ คือรองรับการเกิดดับของสังขาร มันก็เลยขัดๆอยู่ว่า แบบนี้จิตก็ไม่ได้ "หายไป" พร้อมกับอวิชชา
แต่ถ้าตอบว่า "ไม่มี (ไม่มีความรู้)" คือ ไม่เหลืออะไรเลย เหมือนความว่างภายนอก ก็จะขัดว่า ในเมื่อยังไม่ตาย ขันธ์ยังทำงานอยู่ แล้วสังขารจะไปเกิดดับอยู่ต่อไปได้อย่างไร
มันยังสงสัยอยู่ตรงนี้ครับ คือตรงที่ว่า ไม่มีอะไรเลย ....แต่มี "ความรู้" อยู่ ในความเข้าใจ คำว่า "ความรู้" นี้คือ มีความเกิดดับของสังขารที่เกิดขึ้นอยู่ ไม่ได้ว่างเปล่าแบบไม่มีอะไรเลย เช่นอวกาศใช่ไหมครับ
หรือถ้าผมจะตอบตัวเองว่า "เมื่อสิ้นอวิชชาแล้ว แต่ขันธ์ยังไม่ดับ ความรู้ก็เลยต้องมีอยู่ คือ เป็นความไม่มีอะไรเลย แต่ยังต้องเหลือความรู้อยู่ เพราะขันธ์นี้เกิดมาแล้ว ธาตุรู้ก็จะหายไปเลยไม่ได้ คงต้องรองรับการเกิดดับของสังขารต่อไป แต่เมื่อถึงเวลาที่ขันธ์นี้สลายไป ร่างกายแตกดับไป จึงจะกลายไปเป็น "ความว่างเปล่า" ที่แท้จริง คือ ไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่ความรู้ เหมือนความว่างเปล่าของจักรวาล
ตอบแบบหลัง ก็จะเป็นการ เอา 2 แบบมาตอบ แต่คนละสภาวะ คือ ตอนยังไม่ตายก็ ต้องรู้อยู่เพราะขันธ์ยังไม่ดับ แต่ตายแล้วก็ไม่มีอะไรเลยแม้แต่รู้ ใช่ไหมครับ
กราบหลวงตาครับ เขียนมาซะยาวเลย เพราะอยากจะทบทวนว่า ความเข้าใจแบบนี้ถูกต้องไหมครับ หรือผมคิดผิดไปเองตรงไหนครับ
ผมลองมาพิจารณาดูน่าจะลงกับคำตอบว่า
"เมื่อสิ้นอวิชชาแล้ว มันก็ไม่เหลือตัวจิตตัวใจ เป็นดั่งความว่างของอวกาศ แต่เพราะธาตุยังไม่แตก ขันธ์ยังไม่ดับ จึงมีการเกิดขึ้นและดับไปของสังขาร อยู่บนความว่างเปล่า จนกว่าขันธ์นี้จะแตกสลายไป ทุกอย่างจึงจะหมดไปอย่างถาวร เป็นความว่างของจักรวาล ไม่มีความรู้อะไรอีก เพราะขันธ์ดับไปทั้งหมด"
ดังนั้นไม่ว่าจะ มีอะไร เกิดขึ้นบนความไม่มีอะไร หรือ ไม่มีอะไรเลย มันก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะ ธาตุรู้คือ ความไม่มีอะไร อยู่แล้ว แต่ตอนยังไม่ตาย ความรู้ ก็ต้องมี เพราะขันธ์ทำงาน ตอนตาย ความรู้ ก็ไม่มี เพราะไม่มีขันธ์เหลือแล้ว แบบนี้ถูกไหมครับ
หลวงตา : จิตเมื่อสิ้นอวิชชาแล้ว ตัวจิตก็จะดับไป
แต่ในขณะที่ธาตุขันธ์ยังไม่ดับ คือ ยังไม่ตาย ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เป็น สังขาร ก็ยังทำงานตามปกติ ส่วนธาตุรู้หรือจิตหรือใจ ที่สิ้นตัวตนแล้วคงมีแต่ความรู้ แต่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ เพราะไม่มีอวิชชาปนหรือผสมอยู่อีกแล้ว ถึงแม้ไม่มีตัวจิตหรือตัวใจหรือตัวธาตุรู้ แต่ความรู้มีอยู่แบบไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง แบบไม่สังขาร หรือ เรียกว่าวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม
ซึ่งความรู้ที่ไม่มีตัวตนและไม่สังขารนี้ เป็นธาตุแท้ๆ ตามธรรมชาติ แต่เดิมเขามีอวิชชาผสมหรือปนอยู่ เขาจึงมีตัวตน และสังขารได้ แต่เมื่อเขาไม่มีอวิชชาผสมหรือปนอยู่แล้ว เขาก็คงเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติของเขา เพียงแต่ไม่มีตัวตน และไม่อาจสังขารได้เท่านั้น ซึ่งธาตุรู้ หรือ จิต หรือ ใจ เป็นวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ หรืออสังขตธรรมนี้ เป็นธาตุตามธรรมชาติที่ไม่อาจถูกทำลายได้ และไม่เกิด ไม่ดับ เพราะเขาเป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน และไม่อาจสังขารได้แล้ว จึงไม่เกิด ไม่ดับ และไม่อาจถูกทำลายได้ แต่เมื่อขันธ์ห้ายังไม่แตกดับ ก็อยู่กันไปกับขันธ์ห้า จนกว่าขันธ์ห้าจะแตกดับ จิต หรือ ใจ หรือ ธาตุรู้ ที่ไม่มีอวิชชาผสมหรือปนอยู่ จึงกลืนหายไปในความว่างของธรรมชาติ คือ มีความรู้อยู่ในธรรมชาติ จึงมีความรู้ที่ไม่ปรากฏตัวตน ไม่ปรากฏอาการใดอยู่ในทุกที่ เพราะในทุกสิ่งย่อมมีความว่าง ดังนั้น ความรู้ ที่เป็น พุทธะ เป็นความรู้ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง ไม่สังขาร จึงไม่มีตัวตน หรือสังขารไปยึดถือสิ่งใดได้ จึงเรียกความรู้นี้ว่า “พุทธะ” ผู้รู้ (รู้แจ้ง รู้ความจริง รู้พ้น) ผู้ตื่น (ตื่นจากความหลง คือ อวิชชา) ผู้เบิกบาน (พ้นทุกข์ นิพพาน)
อาจกล่าวได้ว่า “พุทธะ” อยู่ในทุกที่ แม้แต่ในความว่าง ดังนั้น ความว่างจึงไม่ใช่พุทธะ หรือพุทธะ ไม่ใช่ความว่างของอากาศที่ไม่มีความรู้
ผู้ถาม : อ๋อ ครับ กราบหลวงตาครับ
พุทธะ คือ “ความรู้ที่ไม่มีตัวตน” ต่างกับความว่างเปล่า ที่ไม่มีอะไรเลย .... เกือบจะหลงผิดไปเป็นความไม่มีอะไรเสียแล้ว
แต่มันยังไม่ลงใจอีกนิดครับ คำว่า “ความรู้ที่ไม่มีตัวตน” มันยังสงสัยๆ ว่า เมื่อมัน “ไม่มีตัวตน” แล้วมัน “มีความรู้อย่างไร” ตายแล้วมันไปอยู่ตรงไหน หรือมันต่างจาก ความว่างของธรรมชาติอย่างไร คำถามแบบบ้านๆ เลยครับ
กราบหลวงตาอย่างสูงครับ แต่ผมจะขอน้อมวิสัชนาหลวงตาไปพิจารณาครับหลวงตา กราบ กราบ กราบ
ก็จริงอย่างหลวงตาบอกครับ ถ้ามันว่าง แบบไม่มีอะไรเลย แล้วพระพุทธคุณที่เป็นพลังในจักรวาลจะมีมาได้อย่างไร จะมาเชื่อมต่อกับธาตุรู้ของแต่ละคนออกมาเป็นธรรมได้อย่างไร แสดงว่า ธาตุรู้ ที่เป็นความรู้ที่ไม่มีตัวตนนั้นยังคงมีอยู่ ไม่ใช่ความว่างเปล่าแบบไม่มีอะไรเลย กราบหลวงตาอย่างสูงยิ่งครับ ผมอาจจะไปสับสน กับ บัญญัติ ของคำว่า “ความรู้” ที่เหมือนชอบแปลว่า เป็นความรู้อะไรอย่างนี้ แต่ความรู้ที่หลวงตาหมายถึง คือ “ความรู้แบบพุทธะ” เป็นความรู้แจ้ง รู้พ้น รู้สิ้นยึด ไม่ใช้คำว่าความรู้แบบรู้สึก หรือรู้อะไร ที่ทางโลกเขาใช้แปลๆ กันอย่างนั้น
กราบหลวงตาอย่างสูงครับ กราบหลวงตานะครับที่เมตตามาตลอดนะครับ หลวงตาเป็นเหมือนแสงสว่างแก่ชีวิตเรื่อยมา ถ้ามีกรรมใดที่ล่วงเกินหลวงตา ขออโหสิกรรมด้วยครับ
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2561