ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่เมตตาเจ้าค่ะ แจ่มแจ่งนักเจ้าค่ะ หนูเข้าใจว่า......
การเวียนว่ายตายเกิดจะยังคงมีไม่สิ้นสุด เนื่องจาก “ตัวจิต” (ธาตุรู้+อวิชชา) เป็นเหตุ ถ้าไม่มีตัวจิต - อวิชชาก็ไม่มีที่ตั้ง และถ้าไม่มีอวิชชา - จิตก็ไม่ก่อรูปเป็นตัวจิตเจ้าค่ะ มันจึงวนเวียนเช่นนี้
ถ้าขณะจิตใด.....ไม่มีความหลงที่เป็นอวิชชาจนเกิดเป็นตัวจิต ไม่มีอวิชชาก็ไม่มีตัวจิต ขณะนั้นหากมีปรากฏการณ์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของขันธ์ห้า จะเป็นเพียงการ “รับรู้รับทราบ” แต่ไม่มี “ตัวรับกระทบ” จึงไม่เกิดความรู้สึกเป็น “ตัวเรา” เกิดขึ้น เหมือนระบายสีในอากาศเจ้าค่ะ
ถ้าในขณะจิตใด.....มีความหลงยึดถือเป็นอวิชชา ก็จะมีตัวจิตเกิดขึ้นคู่กัน ขณะนั้นหากมีปรากฏการณ์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของขันธ์ห้า ก็จะมีการ “รับรู้รับทราบ” และมี “ตัวรับกระทบ” มีความรู้สึกเป็น “ตัวเรา” ที่รับกระทบนั้น สังขารปรุงแต่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึกจะสามารถ “ย้อม” ตัวจิต เพราะมีตัวจิตเป็นที่ตั้ง เป็นเหตุให้หลงปรุงแต่งผสมโรงเพื่อช่วยเหลือตัวเรา ให้มีความสุขหรือให้ตัวเราพ้นทุกข์ หรือเพื่อช่วยให้ตัวเราโล่ง ว่าง คือ พยายามรักษาตัวจิตให้ว่าง จึงมีงานของการ “รักษา” ตัวจิตไม่สิ้นสุด
การจะพ้นทุกข์ได้จึงไม่ใช่การไล่ดับอวิชชา เพื่อปลดปล่อยธาตุรู้ให้เป็นอิสระ เพราะมันเป็นของที่ผสมกลมกลืนกัน เกิดและดับไปด้วยกัน (อวิชชากับตัวจิต) แต่เป็นการปล่อยวางตัวจิตไป โดยเห็นว่าตัวจิตเองตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ เกิดๆ ดับๆ ไม่มีอยู่จริง เกิดขึ้นเป็นขณะๆ แล้วดับไป ไม่มี “ใคร” หลงเข้าไปเป็นเจ้าของในสิ่งเกิดๆ ดับๆ นั้น ตัวจิตเองก็หมดค่าหมดราคาของมันไป คือ ความรู้สึกเป็นตัวเรามันหมดค่าหมดราคา หมดพิษสงที่จะผลักดันให้เกิดการกระทำอะไรให้เป็นอะไร จึงเกิดขึ้นอย่างเก้อๆ แล้วดับไป
การที่ตัวจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไปอย่างเก้อๆนี้ ก็ตรงกับที่องค์หลวงตาเมตตาสั่งสอนมาตลอดว่าให้ปล่อยวางตัวเราผู้รู้ทุกขณะปัจจุบัน ไม่หลงเอาผู้รู้มาเป็นตัวเรา หรือไม่หลงเอาตัวเราเป็นผู้รู้ ขณะนั้นก็ไม่เป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เมื่อปล่อยวางตัวเราผู้รู้ไปเรื่อยๆ อวิชชา (ความไม่รู้) ก็จะอ่อนกำลังลง แต่สติปัญญาจะมีกำลังมากขึ้น จนเมื่อถึงที่สุดเมื่อรู้แจ้งอย่างถึงใจจริงๆ ว่า.....ทุกสิ่งที่ปรากฏโดยเฉพาะตัวจิต (ตัวเราผู้รู้) เป็นเพียงธรรมชาติที่ปรุงแต่ง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ตามกฎอิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี จึงสิ้นหลงยึดถือสิ่งที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตจึงไม่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อมีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของขันธ์ห้า จึงเหลือเพียงการรับรู้รับทราบ ไม่มีตัวรับกระทบอีกต่อไปเจ้าค่ะ
หนูเข้าใจอย่างนี้เจ้าค่ะ ขอความเมตตาองค์หลวงตาชี้แนะ ว่ามีสิ่งใดคลาดเคลื่อนจากธรรมไหมเจ้าคะ กราบขอบพระคุณในความเมตตาที่องค์หลวงตามีให้แก่ศิษย์คนนี้ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ แจ่มแจ้งถึงใจแล้ว
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2561