ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ เมื่อเช้าตื่นมาเบลอๆ ไม่เเน่ใจว่าส่งจิตออกนอกหรือเปล่า พอเข้าห้องพระสวดมนต์ก็เห็นจิตผู้รู้เป็นดวง เเล้วก็เห็นเปลือกของเขาสลายไป เลยอยู่กับรู้ที่ไม่มีจุดมีดวง ความสงสัยก็ยังมีอยู่ว่าทําถูกหรือเปล่าเจ้าค่ะ หลงก็ตามรู้ทีหลังเจ้าค่ะ
ไฟล์เสียงวันนี้หวานฟังหมดเเล้วเจ้าค่ะ ด้วยความสงสัย หวานได้บริกรรมพุทโธ เเต่จิต ก็ไม่รวมเป็นดวงเหมือนเดิม บางครั้งพุทโธถี่ ๆ ก็เห็นมีเป็นกระเเสความคิดมากําลังจะสร้างเปลือก พอเห็นก็สลายไป ตอนนี้ไม่ต้องบอกเตือนว่าเป็นสังขารเเล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนเขารู้อยู่เเล้วเจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาหวานเจ้าค่ะ หวานยังรู้สึกมีตัวตน คือลึกๆยังไม่เเน่ใจว่าเราเเอบส่งออกหรือเปล่าเจ้าค่ะ เเละยังยึดว่าปล่อยให้ส่งออกไม่ได้เจ้าค่ะ
หลวงตา : ความรู้สึกว่ามีตัวตนของเรา หรือ มีตัวเราอยู่ในความรู้สึก เป็นเพียงมายาของสังขาร คือ ความหลงไปตามความคิด ความรู้สึก หรือสิ่งที่ปรุงแต่ง
***** เพียงแค่รู้เห็นจากใจว่า ความคิดหรือความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา รวมทั้งความคิด ความปรุงแต่ง หรืออาการใด ๆ ทุกปัจจุบันขณะ แม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง เป็นเพียงมายา เป็นสังขารปรุงแต่ง ใจเขาก็จะไม่หลงยึดถือเอง
ให้ย้อนกลับไปอ่านพิจารณาทั้งหมดตั้งแต่ต้น จนสิ้นสงสัย นะ
ผู้ถาม : อย่างหวานนี่ควรทําสมถะทุกวันก่อนฟังธรรมหลวงตาใช่ไหมเจ้าคะ ไม่งั้นมันส่งออกไปอยู่กับว่างตอนตื่นนอน เเล้วดูยากเจ้าค่ะ
หลวงตา : จะไปทำอะไร ก็มีเบื้องหลังแอบแฝงอยากให้เราหรือตัวเราไปได้ ไปเป็น ไปบรรลุอะไร มันเป็นกิเลส หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ทำให้เกิดภพชาติ … และความทุกข์ทั้งมวล
ความจริงของธรรมชาติ คือ ไม่มีตัวตนของเราที่เป็นส่วนเกินธรรมชาติเลย ถ้ามีความรู้สึกว่ามีเราหรือตัวเรา จะไปเอา ไปได้ ไปถึง ไปเป็นอะไร มันจะเป็นส่วนเกินของธรรมชาติ จึงไม่สามารถกลืนหายไปในธรรมชาติได้ จิตหรือวิญญาณมันจะเหลือตัวตนโปร่งแสง ให้ยมทูตเขามาเอาตัวไปพิพากษาและต้องรับผลกรรมได้
ให้มีสติ ปัญญา เห็นผู้รู้ ปล่อยวางผู้รู้ทุกปัจจุบันขณะ เพราะ ผู้รู้เป็นจิตหรือวิญญาณขันธ์ ที่ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ทุกปัจจุบันขณะ
ดังนั้น ถ้า ไม่รู้เท่าทันผู้รู้ และ ไม่ปล่อยวางผู้รู้ทุกปัจจุบันขณะ ก็จะปล่อยวางขันธ์ห้าไม่ครบห้าขันธ์ และ เมื่อไม่เห็นผู้รู้ ก็จะหลงสังขาร หรือ หลงเอาสังขารคือขันธ์ห้ามาคิดปรุงแต่งยึดถือเป็นเรา ตัวเรา หรือของเรา
ถ้าปล่อยวางสังขารหมดตลอดเวลา จนถึงต้นจิต คือ ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร เลยจากนั้นไปจนไม่มีที่หมายจะเป็นความไม่มีอะไรปรากฏเลย
หรือ รู้เห็นจากใจว่า “สังขาร” ทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ ก่อนเกิดก็ไม่มี มีแล้วก็ดับไปเสียทั้งหมดเป็นธรรมดา
หรือ สังขารทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีตัวตนของผู้ยึดมั่นถือมั่น ก็สิ้นกิเลส พ้นทุกข์
ดังนั้น จะปฏิบัติอย่างไรก็ได้ แต่ต้องสิ้นความหลงยึดถือว่ามีตัวตนของเรา หรือ มีตัวเรา เพราะ หลงสังขาร หรือ หลงยึดถือขันธ์ห้าเท่านั้น จึงหลงเอาสังขารหรือขันธ์ห้ามาคิดปรุงแต่งเป็นความหลงว่ามีตัวตนของเราในความรู้สึก
ถ้าพ้นสังขารแล้ว ก็ไม่อาจเอาสังขารมาหลงปรุงแต่งเป็นอะไรได้
ก็ได้แต่แค่รู้เท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ”รู้” เพราะเขาเป็นธรรมชาติ หรือ เป็นธรรมธาตุ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2561