ผู้ถาม : ที่ผ่านมามันทุกข์เลยเจ้าค่ะ หลวงตา เพราะพอพิจารณากายเน่าเปื่อยไปถึงจุดหนึ่ง ก็มีความคิดเข้ามาแทรก เป็นการปฏิบัติแบบปรุงแต่งสัญญาเดิม เลยทำให้การพิจารณากายขาดช่วงไป ทำอย่างไรก็ต่อเนื่องไม่ได้ แล้วก็คับแค้นใจ ว่าทำไมมันวนแบบนี้ตลอด อยู่ในกองทุกข์ พึ่งสติปัญญาของตัวเองไม่ได้เลย สิ่งใดหรือธรรมใดที่คิดว่ารู้แล้ว มันกลับสูญสลายจนหมด กลับสู่กองสังขารอีก ไม่มีอะไรที่เรารู้จริง หรือเป็นจริงเลยหรือ มันเสียใจ จนยอมทิ้งความรู้ความเห็น ความเข้าใจเดิมทั้งหมด เพราะพึ่งสิ่งนี้ไม่ได้แล้ว ทิ้งมันไปเลย และพุทโธอย่างเดียว กับลมหายใจอย่างเดียว ไม่เอาอะไรแล้ว ขอตายคาพุทโธนี่แหละวะ ว่างไม่ว่าง ก็ช่างหัวมัน ทำไปได้สักครึ่งวัน จิตมันมีกำลังขึ้น เห็นสังขารส่วนที่ละเอียด คือ ตัวเราที่ปรุงแต่งปฏิบัติธรรม ปรุงแต่งเรื่องรู้ธรรมเห็นธรรมนี่แหละ
ถ้าหลุดจาก “พุทโธ” หรือ “ลม” ที่เป็นทุ่นเกาะไป มันก็ไปยึดถือ คือ ไปเป็นจิตที่ปรุงแต่งเองบ้าง คือ ตกร่องเดิม เป็นสังขารเสียเอง กับหลีกหนีจิตปรุงแต่งบ้าง และเห็นว่า ก่อนหน้า เมื่อพิจารณากายมาแต่มีจิตปรุงแต่งแทรก มันไม่ได้ รู้แล้ววางจิตปรุงแต่ง แต่มัน “หนี” ความคิดที่ขึ้นมา แล้วไปทำสมาธิเพื่อไม่ให้มันคิด มันจะได้พิจารณากายต่อเนื่อง เพราะมีความอยากได้ผลของการปฏิบัติ โดยไม่รู้เท่าทันสังขารตรงนี้เจ้าค่ะ
พอมีพุทโธ หรือลมเป็นทุ่นเกาะ สังขารอะไร แม้แต่กิเลสจะเกิด ก็ไม่ห้ามมันแล้วมันจะปรุงอะไรก็ปรุงเลย แต่เกาะทุ่นไว้ กลั้นใจแป๊บเดียว เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไปเอง พอมันเรียนรู้สักพักว่า สังขารเกิดก็ไม่เป็นไร รู้มันไปเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว มันเริ่มปล่อยทุ่นเอง และเห็นว่า ตัวไปเกาะทุ่น ก็เป็นสังขารเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ “ธรรม” ก็ไม่เที่ยง จะพยายามยึดถือให้เที่ยงไว้ก็ไม่ได้
“สัพเพ ธัมมา อนัตตา”
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2561