ผู้ถาม : เมื่อวานเป็นทุกข์เพราะความปรุงแต่งทั้งวัน และเป็นกิเลสกับภายนอกด้วย และมันทุกข์มากเลยเจ้าค่ะ ไม่เข้าใจว่าทำไมใจเรามันยังเป็นแบบนี้อยู่ ดิ้นรนใช้สติปัญญาเท่าไหร่ ก็ไม่ไปอย่างไรเลย กลับมาเหมือนเดิม คือ กลับสู่ความเสื่อมของจิต สุดท้ายก่อนนอน เลยปล่อยมันแล้ว เพราะมันสุดจะต้านทานจริง ๆ มันอยากฟุ้งซ่าน มันจะคิดอะไร จะไปทำอะไร เออ ไปเลย ไม่เป็นไร มันอยากจะทุกข์ ก็ให้มันทุกข์ขึ้นมาเถอะ ไม่ต้องมีสติปัญญาดูรู้เห็นอะไรแล้ว เหนื่อยแล้ว
สิ่งที่เกิดคือ มันก็ฟุ้งจริง ไปคิดให้ทุกข์จริง แต่มันก็รู้อยู่ว่า มันไปคิด เราไม่ได้ตั้งใจจะรู้แล้ว แต่มันก็รู้ของมันเอง ต่อให้ตั้งใจคิด ไปเป็นกิเลสอย่างไร มันไม่มีวัน “ไม่รู้” แล้วความคิดต่อให้มันจะแรงแค่ไหน มันก็ต้องดับ เลยเห็นว่า ก่อนหน้านี้ มันมีความผิดพลาด คือ รั้งตัวเองไว้ ไม่ให้ไปเป็นฝั่งกิเลส ซึ่งท้ายที่สุด ทำไม่ได้หรอก และทุกข์มากด้วยเจ้าค่ะ พอปล่อยหมด เมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ฝัน ฝันเห็นเด็กที่ดูแลตายไปแล้ว มาบอกลา กอดลาเขาในฝัน เป็นการกอดที่ชัดเจนมากจริง ๆ ตื่นขึ้นมา มันร้องไห้พักใหญ่ เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ยอมให้ใจ ได้สัมผัสกับความทุกข์จากการสูญเสีย การพรากจากคนที่รักจริง ๆ ก่อนหน้านี้ที่เข้าใจว่า ตัวเราปฏิบัติดี เข้าใจธรรมเยอะ ทำใจได้เวลาเด็กตาย มันไม่จริงหรอก เราเองกั้นใจตัวเองไว้ โดยปรุงแต่งภพของการปฏิบัติอยู่ในใจ โดยไม่ยอมให้ใจสัมผัสความทุกข์จริง ๆ ต่างหาก
แท้จริงการปฏิบัติ มันไม่ได้ต้องปรุงแต่งอะไรขึ้นมา ความจริงมันก็คือความจริงที่แสดงอยู่ในโลกในวัฏฏะนี้แหละ เพียงแต่เรายอมอนุญาตให้ใจสัมผัสความทุกข์และเรียนรู้มันจริง ๆ มันถึงเข้าใจโลก เข้าใจสังขารจริง ๆ ใช่ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : อย่าหลงเอาสังขาร ที่คิด หรือ ปรุงแต่งแสดงอาการอย่างใด ๆ ได้ มาเป็นวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม หรือ สุญญตา
*****หากสิ้นหลง ...ก็จะเป็นใจหรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งเป็นความพ้นทุกข์โดยคุณสมบัติของวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม หรือ สุญญตาของเขาเอง
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ หลวงตา เพราะมุ่งมั่นจะทำลายตัวตน จึงหมกมุ่นเอาสังขารไปทำลายสังขาร รวมทั้งทิ้งและลืมคุณสมบัติของวิสังขารไปสนิทเลยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เตือนสติเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561