ผู้ถาม : หลวงตาคะ มันแฝงอยู่ตลอดจริง ๆ แม้แต่ เมื่อเข้าใจธรรมแล้ว ไปทำกิจการอย่างอื่น ใจมันก็คิดเรื่องธรรม เรื่องปฏิบัติ ออกนอกงานที่ทำอยู่ แสดงว่า แม้แต่การปฏิบัติ เห็นธรรมขนาดนี้ เห็นจิตละเอียดขนาดนี้ ยังเคลือบด้วยอวิชชาเลย มันออกมาในรูปของความคิดว่าจะปฏิบัติอย่างไรนั่นแหละ แสดงว่า ยังขุดไม่ถึงรากเหง้าของมัน มันจึงผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ เข้าใจแล้ว ว่าทำไมหลวงตาจึงให้อยู่กับพิจารณากายเป็นหลัก ซึ่งคุณของการพิจารณากาย (แม้แต่ผู้ที่เดินจิตเห็นจิต) มีดังนี้
- จิตมีที่เกาะ มีงานทำ ไม่ไปอยู่กับความคิด ไปตามความคิดเรื่องที่ฟุ้งอยู่
- มันมีฐานอยู่ เหมือนตั้งมั่นอ่อน ๆ ทำให้เห็นความคิดที่เข้ามา และเห็นต้นตอของความคิดได้ง่าย เห็นกลของจิตได้ลึกซึ้งกว่าเก่า
- จะได้ระลึกไว้ ว่างานของเราคือกาย มันจะได้ไม่ไปหลงอยู่ วุ่นวายกับจิต ทีนี้มันจะเห็นจิต คือ สิ่งที่ปรุงแต่งตั้งแต่หยาบที่สุด ถึงละเอียดที่สุด เกิดเองดับเอง ถ้าไม่มีใครไปยุ่งกับมัน
- อันนี้หลวงตาเน้นมาก คือ จะได้ไม่ไปอยู่กับความว่าง และความสบาย ความไม่ทุกข์ ซึ่งเป็นตัวล่อ ขนมหวานชั้นเลิศจริง ๆ คนเดินจิตเห็นจิตอย่างเดียว น้อยคนจริง ๆ ที่ปล่อยวาง ยอมทิ้งได้เจ้าค่ะ (เป็นลูกศิษย์หลวงตามาจะเข้าปีที่ 10 ยังทำไม่ได้เลย ที่มันทิ้งได้เป็นช่วง ๆ เพราะไปให้หลวงตาชี้ให้หรอก แต่ช่วงเวลาที่อยู่กับหลวงตา มันน้อยมากเมื่อเทียบกับเวลาทั้งหมด
- เกิดปัญญาปลงปล่อยวาง เห็นกายไม่เที่ยง ถ้ามันเห็นชัดในฐานกาย focus อยู่ โดยทิ้งฐานจิตไปเจ้าค่ะ ถ้าลงแบบนั้นโดยมีสติชัด ภาพมันก็ชัดด้วย ก็ปล่อยให้มันดำเนินไป โดยไม่ดึงรั้งไว้ที่การดูจิตอีก ก็ลงพิจารณาต่อไปเลยเจ้าค่ะ
จึงส่งการบ้านว่าเป็นแนวทางแบบนี้ ให้หลวงตาพิจารณาเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ เป็นเช่นนั้นเลย
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2561