หลวงตา : ยังหลงยึดถือ เป็น “อวิชชา” แอบซ่อนอยู่
รู้สึกว่า “เรา หรือ ตัวเรา จะอ่านอย่างไรให้ดี ใ้ห้ผ่าน”
ทำให้เกิดความกังวลละเอียดภายในใจลึกๆ
ซึ่งเป็นความทุกข์ ความกังวลให้เห็นได้ชัด
ความจริงตามธรรมชาติ ตัวตนของเราไม่มีมาตั้งแต่แรก ในปัจจุบัน และอนาตค
มีแต่ธาตุและอวิชชา (ความไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงหรือความโง่) มาผสมกัน จึงหลงรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือของเรา
สังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่าถ้าหลวงตาชม จะรู้สึกยินดี พอใจแอบแฝงในใจ
ถ้าถูกหลวงตาตำหนิ จะรู้สึกว่า เสียใจ ท้อใจ หรือนอยหน่อยๆ
อย่างนี้ ซิดี!..จะได้เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง ว่ายังปล่อยวางไม่หมด
ยังเห็นไม่หมดว่าความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง อารมณ์ หรือความรู้สึกทุกปัจจุบันขณะ เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ เหมือนฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา
ผู้ถาม : หนูขอบพระคุณหลวงตาอย่างที่สุดค่ะ เป็นอย่างที่หลวงตาบอกทุกอย่างเลยค่ะ หนูคิดว่าจะอ่านให้ดีตัองทำอย่างไร เลยไปปรุงแต่งว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ที่จริงตัวเราไม่มีมาแต่แรก รวมทั้งตอนที่คิดว่ามีตัวเราด้วยซ้ำ หลวงตาจึงให้อ่านไปตามธรรมชาติแบบเดิมของตนเอง เพราะมันไม่ต้องปรุงแต่งอะไร มันเป็นความไม่มีอยู่ตลอดอยู่แล้ว หนูจะเพียรต่อไปค่ะ ขอให้สัญญากับหลวงตาว่าจะทำประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านให้ถึงที่สุด เป็นการตอบแทนพระคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และ หลวงตา
ที่สุดของที่สุดคือ หนูมาถึงตรงนี้ได้เพราะความเมตตาอย่างที่สุดของหลวงตาเท่านั้นจริงๆ ค่ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ
เมื่อรู้เท่าทันความหลงไปคิดไปปรุงแต่ง เท่ากับหลงไปเป็น “สังขาร” หรือ หลงเอาจิตตสังขารมาเป็นตัวเราจึงยังหลง หรือเป็น “อวิชชา” เพราะความไม่รู้เท่าทัน
เมื่อสิ้นหลงสังขาร หรือสิ้นหลงเอาสังขารมาเป็นตัวเรา ก็สิ้น “อวิชชา” กลายเป็น “วิสังขาร” คือ เตสัง วูปสะโม สุโข คือ ดับความหลงปรุงแต่งเสียได้สนิท หรือสิ้นหลงเอาความปรุงแต่งมาเป็นเรา หรือเป็นตัวเราเสียได้อย่างถาวรสิ้นเชิง ด้วยความรู้ คือ วิชชา ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้
ขณะจิตเดียว ที่หลงปรุงแต่งอย่างใดๆ แม้พยายามจะไม่ปรุงแต่ง หรือพยายามจะไปเป็นวิสังขาร เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว หรือหลงเพียงขณะจิตปรมาณูเดียว ก็ได้ชื่อว่าหลงสังขารหรือหลงไปเป็นสังขาร
จะไม่เป็น “วิสังขาร” โดยธรรมชาติของเขาเอง เพราะไม่อาจปรุงแต่งให้เป็น “วิสังขาร” ที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ของเขาเองได้ ถึงแม้จะพยายามปรุงแต่งให้เป็นวิสังขารอย่างไร ก็คงหลงเป็นสังขารเรื่อยไป
เมื่อไม่เป็น “วิสังขาร” ที่เป็นธรรมชาติแท้ๆ ไม่อาจปรุงแต่งได้ ก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้ เพราะความไม่มีตัวตน และไม่ปรุงแต่งเท่านั้น จึงเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติได้ทุกอย่าง คือ สามารถอยู่ได้ในทุกที่ ในทุกสิ่ง เช่นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติฝ่ายปรุงแต่งซึ่งเป็นสังขารหรืออยู่ในสังขารทั้งหมด
เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติของความว่าง หรืออยู่ในความว่าง ** มันจึงไม่ใช่ความว่าง**
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2561