ผู้ถาม : กราบขอโอกาสส่งการบ้านค่ะ อะไรที่กระดุกกระดิกในจิตได้ แสดงอาการต่างๆ ได้ คือผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เป็นอาการต่างๆ ผู้ดิ้นรน ผู้ค้นหา ล้วนไม่ใช่เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ถ้าหลงไปตามมันทั้งหมดนี้ ก็คือเรากระโดดเข้าไปเป็นสังขารนั่นเอง เพราะตัวเราไม่เคยมี ไม่เคยตาย ไม่เคยดับ
ถ้าเราเข้าใจผิดว่าเรามีตัวตน สังขารจะกลายเป็นอวิชชา ส่งผลให้จิตคิดว่ามีตัวเราเป็นตัวเป็นตนจริงๆ จึงมีเราเข้าไปยุ่งวุ่นวาย ปรับแต่ง แก้ไขกับสังขาร กับอาการของสังขาร โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือการพยายามหนีออกจากสภาวะหนึ่งไปหาอีกสภาวะหนึ่ง เพื่อหวังผลให้ตัวเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก็คือการวนเวียนอยู่กับสังขารนั่นเอง
ที่ถูกคือให้เห็นว่าอาการต่างๆ ของใจ ผู้รู้อาการของใจ ผู้เฝ้าดู ผู้หวังผล ผู้อยาก ไม่อยาก ล้วนเป็นแค่สังขารไม่ใช่เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา เพราะตัวเราไม่เคยมี
สิ่งที่มีทั้งหมดล้วนไม่ใช่เรา แม้แต่ความว่าง โปร่ง โล่ง เบา สบาย แน่น ทึบ อึดอัด ก็ไม่ใช่เรา ทั้งหมดเป็นสังขารเท่านั้น
แม้แต่วิสังขารซึ่งเป็นความไม่มี ไม่ปรากฏก็ไม่ใช่เรา เราจึงไม่ใช่ทั้งสิ่งที่มี ไม่ใช่ทั้งสิ่งที่ไม่มี ไม่ใช่ทั้งสมมุติและวิมุติ
เมื่อเข้าใจว่าไม่มีตัวตนเราจริงๆ เรียกว่าอวิชชาได้กลายเป็นวิชชา จึงไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับสภาวะต่างๆ หรือสังขารที่เปลี่ยนแปลงอีก แต่ไม่ว่าจะอวิชชา หรือวิชชามันก็ไม่ใช่เราอีกเหมือนกัน เพราะ
จริงๆ แล้วไม่เคยมีตัวเราเลย การที่มีร่างกายและจิตใจในชาตินี้ มันคือการมาปรากฏตัวท่องเที่ยวแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพียงแต่ขณะที่เรามาปรากฏตัว เรากลับหลงผิดยึดว่ากายหยาบ กายละเอียดที่เราขอยืมมาใช้ชั่วคราวนี้เป็นของเรา ซึ่งเมื่อหมดเวลา ก็ต้องหายไปกลับคืนสู่ธรรมชาติ
ดังนั้นในทุกปัจจุบันขณะ ต้องมีสติ เห็นว่าทุกสิ่งในโลกนี้มีแค่สังขารที่เกิดๆ ดับๆ ไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งการเกิดดับของสังขารก็เกิดดับอยู่ในความว่างเปล่า ความไม่มีอะไรของวิสังขาร ทั้งหมดไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่ามีตัวตนของเราอยู่ตรงไหน ที่ไหนเลย
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2561