ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาอีกครั้งเจ้าค่ะ โยมยังมีความสงสัยอีกนิดหนึ่งค่ะ ห้องที่โยมเดินจงกรมและนั่งสมาธินั้นเป็นห้องกระจก ซึ่งมองออกไปข้างนอกก็จะเป็นสวนค่ะ ระหว่างที่เดินนั้น โยมจำคำสอนของหลวงตาที่ว่าร่างกายเราเหมือนลูกโป่ง ข้างในมีความว่าง ซึ่งเป็นความว่าง เดียวกันกับธรรมชาติข้างนอก แต่ลูกโป่งก็คืออวิชชาที่ห่อหุ้มอยู่ ถ้าระเบิดลูกโป่งแล้ว ความว่างข้างในก็จะ ไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติข้างนอก
ในตอนที่โยมเดินจงกรมอยู่ในห้องกระจกนั้น โยมคิดว่าถ้าลูกโป่งระเบิดออก ความว่างในลูกโป่งก็แค่มารวมกับความว่างในห้องกระจกที่โยมกำลังเดินอยู่ โยมต้องระเบิดห้องกระจกก่อน ดังนั้น ความว่างทั้งข้างในกับความว่างข้างนอกที่อยู่ในสวน ถึงจะมารวมกันเป็นธรรมชาติเดียวกันได้ค่ะ
แต่ในอีกความคิดหนึ่งว่า ถ้าหากตัวเราไม่มี ดังนั้นจึงไม่มีลูกโป่ง แต่มีเพียงแค่ห้องกระจกที่จะต้องระเบิด เพื่อให้ความว่างทั้งสองมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันค่ะ ไม่ทราบว่าแล้วเราแค่ระเบิดห้องกระจกอย่างเดียวหรือเปล่าคะ
โยมเข้าไปฟังประวัติของหลวงปู่บุดดาช่วงระหว่างปฏิบัติค่ะ ในชาติหนึ่งท่านไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้หญิงปฏิเสธเพราะผู้หญิงจำได้ว่า ในชาติที่เกิดเป็นสุนัขตัวเมียและไปขโมยอาหารท่าน ตอนท่านเป็นสมภาร ท่านสั่งให้เด็กวัดไล่หมา แต่เด็กวัดจับหมาไปผูกไว้และลืมจนหมาอดตาย แต่หมาเข้าใจผิดว่าสมภารสั่ง พอท่านมองเห็นอดีตว่าผู้หญิงที่ตนหลงรักเคยเกิดเป็นสุนัขตัวเมีย ท่าน ก็เกิดความรู้สึกว่าท่านเกือบเอาอดีตสุนัขตัวเมียมาเป็นภรรยาแล้ว โยมเลยมานึกถึงคำสอนที่ องค์หลวงตาเคยสอนว่าถ้าพวกเราระลึกชาติได้ เราอาจจะไม่อยากอยู่ด้วยกับคนที่เรารักและคนที่ อยู่ด้วยกันในขณะนี้ค่ะ และโยมก็ฟังตอนที่ท่านต้องไปเกิดเป็นสมภารถึงสามชาติ เพราะ ความยึดมั่นถือมั่นในวัดที่ท่านอยู่ จุดนี้ก็ทำให้โยมมองเห็นโทษของความยึดเหนี่ยวค่ะ เพราะโยม เคยยึดวัดที่โยมอุปัฏฐากมากค่ะ ห่วงทั้งวัด ห่วงทั้งพระ ถึงแม้ว่าจะเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดใหญ่ โยม ยังสั่งวิสัญญีแพทย์ว่าฉันยังตายไม่ได้นะ งานฉันยังไม่เสร็จ เค้าก็งงกัน โยมบอกเค้าว่าฉันยังเย็บผ้า ให้วัดไม่เสร็จ เพราะที่บ้านมีผ้าสำหรับเอาไว้เย็บให้พระมากอยู่ค่ะ สงสัยถ้าโยมต้องตายในตอนนั้น โยมคงแย่แน่ๆ ค่ะ
โยมฟังอีกตอนค่ะ ตอนที่โยมพ่อตาขององค์หลวงตาได้สละทุกอย่าง ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตลงค่ะ คุณตาท่านไม่ยึดติดในทรัพย์สมบัติ และสิ่งต่างๆ ท่านถึงไปดี สิ่งที่องค์หลวงตายกมาเป็นตัวอย่างให้พวกโยมได้ฟังนั้น เป็นประโยชน์กับพวกโยมอย่างมหาศาลค่ะ เพราะบางครั้งถ้าเราไม่เห็นโทษและผลเสียหายอย่างใหญ่หลวง ที่จะเกิดขึ้นจากการยึดถือ เราก็ยัง จะคงไม่ปล่อยวางค่ะ
ไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรมเจ้าค่ะ
โยมขอเอาการปฏิบัติของโยม น้อมถวายแด่องค์หลวงตาเพื่อเป็นอาจาริยบูชาค่ะ นับตั้งแต่บัดนี้ไป โยมจะทำความเพียรโดยต่อเนื่องค่ะ จะทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน จนกว่าชีวิตจะหาไม่ค่ะ กราบ สาธุเจ้าค่ะ
หลวงตา : ความหลงผิดยึดถือว่ามีตัวตนของเราอยู่ในความรู้สึก จึงเป็น “อวิชชา”
แท้ที่จริงในความรู้สึกหรือในใจไม่มีตัวตนของเรา
เมื่อสิ้นอวิชชา ความเป็นตัวตนในความรู้สึกดับไป “อวิชชา” เปรียบเหมือนห้องกระจกที่มาหุ้มใจหรือจิตเดิมแท้ๆ ก็ระเบิดออกทั้งหมด
ใจหรือจิตเดิมแท้ๆ ที่เป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาลก็รวมเข้ากับความว่างของจักรวาลเดิม
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561