ที่บอกว่าตัวเรานี้ ตอนอยู่ในท้องแม่มีตัวเรามั้ย เดิม... ในท้องแม่ก็ไม่มีตัวเรา แล้วก็พ่อกับแม่ก็ผสมพันธุ์กัน อสุจิของพ่อก็ว่ายเข้าไป ตัวอสุจิที่ว่ายไปเค้าถือว่าเป็นธาตุดิน เข้าไปเจาะกับไข่ของแม่ ซึ่งเป็นวุ้น เป็นเจล เป็นธาตุน้ำ ดินกับน้ำเริ่มผสมกัน และแม่ก็กินซากพืชซากสัตว์ เอาน้ำเลือด น้ำเหลืองผ่านไปยังก้อนเลือดให้มันโตขึ้นแล้วก็กินสารอาหารในดิน แล้วก็กินน้ำเข้าไปผสม แล้วก็กินลมหายใจเข้าออกของแม่ ผ่านเข้าไป แล้วก็กินธาตุไฟ ความร้อนความอบอุ่นเข้าไปผสมข้างใน แล้วก็ส่วนอากาศเป็นความว่างเฉย ๆ จนกระทั่งเลือดนี้มันค่อย ๆ โตขึ้น เลือดโตขึ้นด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ 5 ธาตุ จนก้อนเลือดนี้ก็เติบโตพอสมควรแล้ว ในก้อนเลือดมีเรามั๊ย ไม่มีเราเลยเห็นไหม? ทุกวันนี้เราก็กินซากพืชซากสัตว์เหมือนอยู่ในท้องแม่ กินธาตุน้ำ กินธาตุลม กินธาตุไฟ กินอากาศ เห็นไหม... ที่จริงไม่มีตัวเราเลย แต่พอก้อนเลือดมันโตขึ้น ปฏิสนธิวิญญาณหรือธาตุรู้บวกอวิชชาเพิ่งจะเข้ามาผสม เราแท้ ๆ ก็คือธาตุรู้บวกอวิชชาที่ลอยเข้ามาผสม กับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ก็คือวิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้นั่นเอง เราหาได้เป็นรูปร่างกายไม่ หากธาตุรู้แท้ ๆ ที่ไม่มีอวิชชาปน มันไม่ปรากฏอะไร ไม่มีตัวตนไม่มีรูปร่าง แต่พอมี “อวิชชา” มันเลยกลายเป็น มีตัวจิตตัวใจมีตัววิญญาณที่ห่อหุ้ม ธาตุรู้แท้ ๆ มันเหมือนกับเป็นความว่างเปล่าในลูกโป่งวิทยาศาสตร์ เป็นความว่างที่เป็นความรู้อยู่ในตัวมันน่ะ ส่วนอวิชชาเป็นเพียงแค่เปลือกหุ้ม เหมือนเปลือกของฟองสบู่ หรือเปลือกของลูกโป่งวิทยาศาสตร์หุ้มมาเท่านั้นเอง เวลามันพามาเกิด มันก็พามาทั้งดวงเลย เพราะว่ามันถูกอวิชชาหุ้มไว้ เปลือกที่หุ้มธาตุรู้เอาไว้ เรียกว่า “อวิชชา” แล้วมันก็มารวมกับธาตุดินน้ำลมไฟและอากาศ ที่มันผสมในก้อนเลือดอยู่แล้ว เมื่อเข้ามาผสมกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา เป็นขันธ์ห้าขึ้นมา แต่มันเป็นธาตุรู้ที่หลงผิดว่าตัวนี้ทั้งตัวคือ “เรา” จึงหลงเอาการรวมกันของธาตุ เกิดเป็นขันธ์ห้า เป็นเรา ตัวเรา เป็นตัวตนของเรา จึงมีการกระทำ มีการปรุงแต่ง เพื่อตัวเรา แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเรา ขันธ์ห้านี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นของไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเราไปยึดถือเอาขันธ์ห้าที่มันผสมเสร็จแล้วเป็นเรา เราก็จะต้องมีตัวเราไปเป็นผู้กระทำ เมื่อเอาตัวเราไปเป็นผู้กระทำขับเคลื่อนขันธ์ห้า เราก็จะต้องไปรับกรรมเพราะมีประธาน การเวียนว่ายตายเกิดรับกรรมจึงไม่จบสิ้นเสียที เราเลยลืมเจ้าของเดิม คือวิญญาณหรือธาตุรู้แท้ ๆ ที่บริสุทธิ์อันนั้น ซึ่งไม่ตาย ไม่แตก ไม่ดับ ไม่ทำลาย มันไปรวมกับความว่างของจักรวาลในทุกที่ ไม่เหลือตัวตนที่จะไปรับผลของกรรม เพราะไม่มีผู้กระทำ ไม่มีประธาน เพราะฉะนั้นเมื่อสิ้นประธาน กรรมก็ไม่มี เหลือแต่กิริยาทางกาย กิริยาทางวาจา กิริยาทางจิตล้วน ๆ เมื่อสิ้นอายุขัย ธาตุดินก็กลับไปสู่ธาตุดินคือเป็นขี้เถ้าธุลีไป ธาตุน้ำก็ระเหยไปในอากาศแล้วก็กลายไปเป็นฝนตกลงมา ให้คนและสัตว์ทั้งหลายได้ดื่มกินต่อไป ธาตุไฟก็หายไปในอากาศเป็นความอบอุ่นให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ธาตุลมหายใจก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ และสำคัญที่สุดคือธาตุรู้ที่บริสุทธิ์หรือวิญญาณที่บริสุทธิ์ไปรวมกับความว่างของจักรวาล ไม่เคยเกิดไม่เคยตายเป็นอมตะ จึงเหลือแต่ความรู้ที่ถูกต้องที่เป็น “สัมมาทิฏฐิ” ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ สิ้นอาสวะคือความเคยตัวเคยใจในฝ่ายชั่ว ในฝ่ายบาปกรรมมันถูกล้างหมดไปแล้วจากใจ เหลือแต่ความเคยตัวเคยใจในฝ่ายดี ในฝ่ายที่เป็นบุญเป็นกุศล จะคิดจะพูดอะไรจะทำอะไรก็ทำให้ตัวเองและผู้อื่นมีความสงบร่มเย็น มีความสุข เขามีความทุกข์มา มาหาเราก็มีความสุข มีความร่มเย็น สบายกาย สบายใจ อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยการทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในปัจฉิมโอวาท นี่แหละคือการประพฤติปฏิบัติธรรมทุกปัจจุบันขณะ ให้มีหิริโอตตัปปะ ละอายแก่ใจเกรงกลัวต่อบาป และขันติอดทนอดกลั้นข่มใจระงับยับยั้งชั่งใจตนเอง อย่าให้คิดให้พูดกระทำไปในทางที่บาปกรรมชั่ว ละบาป มันก็จะเป็นบุญ เมื่อเป็นบุญแล้วก็รักษาไว้ให้ดี อย่าให้มันตกไปในบาปกรรมชั่ว แล้วก็ไปที่สุดของความดี คือ ทำความดีนั้น ไม่เป็นบาปแล้ว เป็นบุญเป็นกุศล เป็นความดีแล้วก็ไม่ติดดี เรียกว่าปิดทองหลังพระ ทำความดีไม่ติดดี ไม่ยึดดี ไม่ยึดว่าจะเอาดีไปเกิดในสวรรค์ หรือ ไปเกิดเป็นอะไรอีก ใจก็เป็นความสงบสุขร่มเย็นเพราะไม่ติดไม่ยึดทั้งบาป ไม่ติดไม่ยึดทั้งบุญ บาปกรรมก็ไม่ติดไม่ยึด ไม่หลงใหลไปทำบาปกรรมชั่วทางกาย วาจา ใจ เมื่อละบาปกรรมชั่วได้หมดทางกาย วาจา ใจแล้ว มันเป็นบุญกุศล เป็นฝ่ายความดี ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป จนหมดแล้วบาปกรรมไม่มีเหลือแต่บุญกุศลแล้ว ก็ไม่ติดในบุญกุศลนั้น ปิดทองหลังพระเรื่อยไป ไม่ติดไม่ยึดในบุญกุศลนั้น ไม่หวังอะไร ไม่ปรารถนาอะไร ไม่เอาอะไร ไม่ไปเป็นอะไร มันก็จบที่ใจ นิพพานในปัจจุบัน และอย่างถาวรตลอดไป เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้. หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโยโอวาทธรรมจากวีดีโอ “ความจริงของชีวิต” วีดีโอยูทูป : ความจริงของชีวิต (Thai Version) :https://youtu.be/bAN8jm1wMzQ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~