การที่เราจะดำเนินวิปัสสนาปล่อยวาง คือ เราจะต้องมีความสามารถสังเกตเห็นความจริงด้วย “ใจสงบ” จริง ๆ
“สงบ” ไม่ได้หมายความว่าไปทำใจนิ่ง ๆ คือสังเกตอยู่เงียบ ๆ ได้จริง ๆ เห็นอาการของจิตตั้งแต่หยาบ ปานกลาง ละเอียด จนถึงขั้นปรมาณู
เห็นว่า... เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจาก “ความไม่มีอะไร” แล้วก็กลับไปสู่ “ความไม่มีอะไร” หายไปในสิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏ แล้วก็เกิดขึ้นใหม่อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีใครไปยึดถือ “สิ่งที่ปรากฏ” นั้นที่เรียกว่า “สังขาร” และไม่มีใครไปยึดถือ “ความไม่ปรากฏ”
แต่ตอนที่สังเกตใหม่ ๆ มันจะมีสาม คือ มันมีปฏิกิริยา ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ละเอียดเล็กน้อยที่สุดเหมือนกับปรมาณูเลย เรียกว่า “สังขาร” เกิดดับอยู่ใน “วิสังขาร” คือ ความไม่มีอะไรปรากฏ แต่มันเกินมาอีกอันหนึ่ง มันไม่ได้มีแค่สังขาร วิสังขาร มันมี “ตัวเรา” เป็นคนไปมอง
พอเราสังเกตละเอียดจริง ๆ เราถึงรู้ว่ามันมี “ตัวเรา” เกินธรรมชาติขึ้นมา เพราะมันปรากฏ “ตัวเรา” ผู้มองดู ผู้ไปสังเกต แล้วมีความรู้ ความเห็น ความเข้าใจด้วยนะ นี่คือสังขารทั้งหมดเลย เหมาให้มันเป็นสังขารทั้งแท่ง
เมื่อรู้เห็นว่าอะไรก็เป็นสังขารทั้งหมด อะไรก็สังขารหมดเลย ผู้ที่เห็นว่าทุกอย่างเป็นสังขารหมด แม้แต่ตัวผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้ปล่อยวาง ยังเป็นสังขารเลย ผู้ที่รู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว... ที่รู้แก่ใจอย่างนี้ มันเป็น “วิสังขาร” อัตโนมัติ มันเกิดขึ้นมาพร้อมกันกับสังขารนั้น ไม่ต้องย้อนกลับไปหามันอีก
พอมา “เห็นตัวเรา” สุดท้ายก็ปล่อยให้ “ตัวเราเป็นสังขารไปโดยอิสระ” สังขารเอง เกิดเอง ดับเอง อย่างอิสระ... เป็นอิสระจริง ๆ ไม่มีใครมารองรับ
เพราะฉะนั้น ตัวเราอยากจะสังขารอะไรก็ได้ แต่มัน “ไม่ใช่ตัวเรา” มันเหมือนกับ “ใจ” มันรู้แก่ใจว่า มันไม่สังขารแล้ว สังขารทั้งหมดไม่ใช่มัน และมันรู้ว่าสังขารเป็นทุกข์ เพราะมันเคลื่อนไหวได้ เกิดดับได้ หาเรื่องวุ่นวายได้
ความไม่เกิดไม่ดับ ไม่สังขารใด ๆ มันไม่มีความทุกข์ในนั้นเลย ไม่มีอะไรในนั้นเลย ไม่มีสมมุติบัญญัติ ไม่มีอะไรเรียกชื่อในนั้น มันไม่มีชื่อเรียกว่า “สมมุติ” หรือเรียกว่า “วิมุตติ” ไม่มีชื่อเรียกว่า “อวิชชา” หรือเรียกว่า “วิชชา” มันไม่มีชื่อเรียกว่าอะไรเลย แต่มันรู้แก่ใจว่ามันไม่สังขารแล้ว สังขารคงมีอยู่แต่มันไม่สังขาร แล้วมันรู้ว่าสังขารมีอยู่จนกว่าจะสิ้นอายุขัยก็ดับไป แต่ถ้าเป็นสิ่งนี้แล้วพ้นทุกข์ตลอดกาล มันรู้เลยแก่ใจไม่ต้องถามใคร เพราะว่า... เมื่อมันไม่สังขาร มันก็พ้นจากทุกข์
สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรตั้งอยู่ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรดับไป
สังขารทั้งหมดเป็นทุกข์ สังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สังขารจึงเป็นทุกข์
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า มีแต่ “สังขาร” เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ “สังขาร” เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ “สังขาร” เท่านั้นที่ดับไป นอกจากสังขารแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรตั้งอยู่ ไม่มีอะไรดับไป และนอกจากสังขาร หรือพ้นจากสังขารแล้ว นั่นแหละคือพ้นทุกข์
สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (“สังขาร”) ตกอยู่ภายใต้กฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องเป็นทุกข์
“พ้นสังขาร”แล้วจึง “พ้นทุกข์” ตลอดกาล และโดยถาวรสิ้นเชิง อย่างเป็นอมตะตลอดกาล ชั่วนิรันดร์ ไม่ต้องถามใคร”
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
โอวาทธรรมจากสนทนาธรรมกับคณะศิษย์
~~~~~~~~~~~~~~~~