ผู้ถาม : สรุปโดยย่อข้อสงสัย
ได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระรัตนตรัยว่าจะเดินจงกรมภาวนาสักสองชั่วโมงครึ่ง โดยจะไม่นั่ง นอน และหยิบโทรศัพท์มาดู หากผิดคำอธิษฐานนี้ขอให้ตกนรก (ขณะกล่าวอย่างนี้รู้สึกว่าเสียวแปล๊บในใจ) เมื่ออธิษฐานแล้วก็เริ่มลงมือเดินจงกรม เมื่อเดินได้สักพักเริ่มรู้สึกง่วงนอน แต่ก็ไม่ตามใจที่จะนั่งหรือนอนพักคงเดินต่อไป โดยบางช่วงจะเอาตัวเองไปพิงกับตู้เหล็กแล้วปิดตาลง แต่ไม่ยอมให้หลับ และสร้างความรู้สึกตัวให้มากขึ้น แต่แล้วเผลอหลับจนได้ แต่ความง่วงก็ไม่หายไปทั้งหมด จึงได้เดินเร็ว ๆ สลับเดินช้าตามปกติ แต่ก็ยังไม่หายง่วง จนรู้สึกว่าความง่วงทำให้เป็นทุกข์ และไปเห็นรากเหง้าของตัวบงการที่สั่งไม่ให้นั่ง ไม่ให้นอน ตัวบงการนั้น คือ คนอธิษฐานจิตว่าจะไม่นั่ง นอน และหยิบโทรศัพท์
พอเห็นตัวบงการจึงรู้ว่าที่แท้มันคือสังขารนี่เอง และผู้รู้ที่ไปรู้ตัวบงการก็เป็นสังขารเช่นกัน เมื่อรู้อย่างนี้ก็ทำให้เห็นความจริงว่าไม่มีเราเป็นผู้อธิษฐาน และไม่มีเราเป็นผู้รู้ แต่พอคิดอีกแง่มุมหนึ่งมันเหมือนกับว่าถึงแม้ไม่มีเรา แต่เมื่ออธิษฐานไปแล้วเราก็ควรต้องทำให้ได้ตามนั้น ถ้าทำไม่ได้จะทำให้เสียสัจจะ จึงปล่อยวางการเสียสัจจะไม่ได้เพราะเห็นว่ามันเป็นสัจจะบารมี จะต้องทำให้มาก เมื่อวางไม่ได้ก็เห็นนะว่าเป็นทุกข์ที่ไม่ได้นอน ไม่ได้นั่ง
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดการสงสัยในการปฏิบัติ ว่าควรทำอย่างไร ในเมื่อมีความเห็นถูกว่าไม่มีเรา แต่ไม่ทำให้เป็นทุกข์กับไม่ให้เสียสัจจะโดยต้องทำให้ได้ แต่ทำให้เป็นทุกข์ เมื่อเป็นเช่นนี้ควรเลือกปฏิบัติแบบไหน จึงถูกต้องทั้งไม่เป็นทุกข์และไม่เสียสัจจะ
หลวงตา : ความคิดปรุงแต่งจะให้ผิดสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี เป็นสังขารปรุงฝ่ายมาร หรือ ฝ่ายอกุศลกรรม
ความคิดปรุงแต่งหักล้างฝ่ายมารว่าอย่าผิดสัจจะอธิษฐาน ด้วยกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ หิริโอตัปปะ ก็เป็นสังขาร แต่เป็นสังขารในฝ่ายกุศลกรรม จึงทำให้เกิดญาณปัญญาเห็นอวิชชา ยึดมั่นถือมั่นเป็นอัตตาตัวตนคอยบงการให้คิด พูด กระทำอย่างนั้น อย่างนี้ เพื่อสนองหรือคอยรับใช้มัน
จะนิพพานในปัจจุบันได้ บารมี 10 ที่สั่งสมมาในอดีตชาติจนถึงชาติปัจจุบันต้องครบถ้วน และเพียรมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ หิริ โอตัปปะ เห็นสัจธรรมความจริงว่า ………
“สัพเพสังขารราอนิจจา
สัพเพสังขาราทุกขา
สัพเพธรรมาอนัตตา
สัพเพ ธรรมา นาลัง อภินิเวสายะ”
หรือ
ญาณเห็นจิตตสังขารเกิดดับในธรรมชาติที่ไม่ปรากฏการเกิดดับเหมือนกับตาเห็นรูป ซึ่งเป็นการรู้เห็นด้วยธาตุรู้เดิมแท้ ไม่มีตัวตนของผู้รู้ในทุกปัจจุบันขณะ
เมื่อใจรู้แจ้งสัจธรรมถึงใจ ใจก็จะปล่อยวางความหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเรา เป็นของเรา ด้วยใจของเขาเอง
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565