ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ
ก่อนอื่นหนูขอกราบขอขมาหลวงตาเจ้าค่ะ วันนั้นหนูรู้สึกสับสนและงงว่า.. เอ๊ สิ่งที่หลวงตาพูด สอน หมายถึงหนูทั้งหมดเลยเหรอ เราเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอเนี่ย เราไม่ได้นั่งสมาธิแล้วจับนิ่งนี่นา
แต่เมื่อกลับมาแล้วนั่งสมาธิ ก็พบพฤติกรรมที่เป็นแบบนั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ มันจะเป็นลักษณะที่นั่ง ๆไป แล้วกรรมฐานค่อย ๆ หายไป แล้วก็มีความรู้สึกวูบขึ้นมา แต่ด้วยความที่คำพูดของหลวงตาที่เพิ่งสอนมา มันดังขึ้นมาว่า “จับนิ่งแล้วคอหักหลับสัปหงก” ก็เลยค่อย ๆ สังเกต ๆ …ก็เลยเห็นจังหวะที่การรับรู้มันค่อย ๆ หรี่ลง ๆ และตามไปกับเรื่องราวของสิ่งที่ปรุงขึ้นมา
พอเห็นแล้วอาการแบบนั้นก็เลยหายไป ทำให้หนูนั่งสมาธิได้ครบประมาณ 2 ชม. เจ้าค่ะ ในตอนนั่งหนูเห็นกายมันก็นั่งไป เวทนาทางกายที่ปวดขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ ๆ จนสุดท้ายมันกลายเป็นเวทนาที่จิตแทน ซึ่งรุนแรงกว่าเวทนาทางกายมาก ๆ บางขณะเวทนาทางกาย และทางจิตเพิ่มขึ้น ก็ส่งผลต่อการหายใจ การเต้นของหัวใจที่แรงขึ้นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่ควบคุมไม่ได้ ขณะเดียวกันก็สังเกตว่าการรับรู้ของผู้รู้มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ไปรับรู้จิตที่คิดปรุงแต่ง เดี๋ยวก็ไปที่เวทนา เดี๋ยวก็ไปที่เสียง เดี๋ยวก็ไปที่การเต้นของหัวใจ เดี๋ยวก็ไปที่ลมหายใจ มันเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ของมันเอง เลยเข้าใจว่าอ้อ ผู้รู้มันไม่เที่ยงนี่เอง
เห็นสิ่งที่หลวงตาเคยบอกว่าแรก ๆ มันจะมีความคิดปรุงแต่งแว๊บ ๆ ๆ แยกออกมาจากกาย ความปวดไม่ได้อยู่ที่กาย แต่มันเป็นความรู้สึกที่มีผู้ให้ค่าให้ความหมายมันเองว่ามันคือความปวด และไม่ชอบมัน เลยเข้าใจว่ากายกับเวทนาทางกายมันเป็นคนละส่วนกัน
ส่วนจิตที่มันปรุงแต่ง แรก ๆ มันก็ปรุงเรื่องโน้นเรื่องนี้ สักพักเมื่อเวทนาทางกายมันมากขึ้นเรื่อย ๆ จิตมันไม่ปรุงเรื่องอื่นแล้ว มันจะปรุงเรื่องเวทนาแทน จึงกลายเป็นเวทนาทางจิตแทน หนูพบว่าแม้ขณะที่เวทนาทางกายลดลง แต่เวทนาทางจิตมันยังคงดิ้นรนไม่หยุด (เลยเข้าใจว่าเวทนากาย เวทนาจิตมันก็ไม่เที่ยง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา) แต่มันจะเริ่มมีการถกเถียงกัน ระหว่างการที่จิตปรุงยุยงให้เลิกกับสติที่คอยกำกับไว้ว่ามันจะเป็นยังไงก็ให้มันเป็น ไม่มีใครตาย ไม่เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์พิการเพราะนั่งสมาธิสักคน
จริง ๆ แล้วตอนนั้นมันสู้กันไม่หยุดระหว่างสติกับจิตอวิชชา แต่แปลกเจ้าค่ะที่สุดท้ายเมื่อไม่มีคนขยับตามที่จิตมันปรุง การดิ้นรนของจิตก็เบาลงทั้ง ๆ ที่เวทนาทางกายก็เท่าเดิม จนสุดท้ายอาการปวดขาก็มีเหลือแค่เล็กน้อย แต่ใจมันสงบ ความปรุงแต่งมันก็ปรุงของมันไป
จากประสบการณ์นี้ทำให้หนูเห็นว่า กาย เวทนา จิตผู้รู้ ธรรมารมณ์ แยกจากกันเป็นคนละส่วนกัน แต่ผู้ที่เห็น เข้าใจทั้งหมดในขณะนั้นยังมีความรู้สึกว่าเป็นเราอยู่เจ้าค่ะ
อีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ กลับมาก็เห็นกริยาของตัวเราที่ไม่พอใจในสภาวะปัจจุบันแบบที่หลวงตาบอกว่าหนูไม่เห็น แต่หนูไปเป็นมันเลย และเห็นว่าเพราะยังมีเป้าหมาย ยังมีตัวเรา เลยไม่หยุดดิ้นรน ค้นหา พยายาม ๆ ๆ มันเลยทุกข์เจ้าค่ะ พอไม่มีเป้าหมาย มันก็หยุดดิ้นรน มันก็สงบลงไปได้เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาที่ช่วยชี้แนะเจ้าค่ะ
หลวงตา : ผู้รู้เป็นเราเป็นจิตอวิชชา
นิพพานเหนือเราผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นเรา หรือ ผู้รู้เป็นของเรา ขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย
หรือ “นิพพาน” สิ้นยึดถือจิตผู้รู้เป็นเรา เราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นของเรา
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565