ผู้ถาม : กราบขอโอกาสเรียนถามเจ้าค่ะ
ดูจากรูปที่หลวงตาอธิษฐานจิต พลังที่ออกมาเยอะมาก และมีหลากหลายสี พุ่งขึ้นมาจากบาตร ไปรวมกับพลังในจักรววาล
มันเยอะกว่าพลังที่ลูกทำเอง แบบเทียบกันไม่ได้เลยเจ้าค่ะ
เลยสงสัยว่า มันเป็นเรื่องของความชำนาญไม่เท่ากัน หรือเป็นจากบารมีเฉพาะบุคคล หรือเป็นเพราะกิเลสที่เหลืออยู่ในจิตเจ้าคะ
หลวงตา : เป็นเพราะกิเลสมาปิดบังจิตเดิมแท้ ทำให้จิตเดิมแท้ไม่บริสุทธิ์
ดังนั้น อำนาจหรืออานุภาพอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณจากพลังจิตบริสุทธิ์และพลังธรรมชาติบริสุทธิ์ ที่แผ่เมตตา จึงแผ่เมตตาออกมาจากอัตตาตัวตน ไม่ได้แผ่เมตตาเป็นเมตตาอัปมัญญาจาก สุญญตา อนัตตา นิพพานธาตุ หรือ พุทธะ
ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา พอหลวงตาบอกว่า เพราะมีตัวตนจึงเมตตาอัปปมัญญา ออกมาเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ไม่ได้ ก็ตาม step เลยเจ้าค่ะ คือ มีตัวตนที่กลับไปปฏิบัติ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาใหม่ และมีความเพียรที่จะ "เห็น" ทุกสิ่ง จากมีตัวตนให้ไม่มีตัวตน
เป็นแบบนั้นอยู่สักพัก ถึงรู้. มีสติขึ้นมาว่า อ้าว ทุกสิ่ง (รวมทั้งตัวเรา) มันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนมาตั้งแต่แรก มันเป็นธรรมชาติที่เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว โดยที่ไม่ได้ขึ้นกับว่า เราจะเห็นยังไง หรือจะปฏิบัติยังไง มันไม่เกี่ยว และไม่ได้เปลี่ยนธรรมชาติดั้งเดิมจากสิ่งที่เขาเป็นแต่ประการใดเลยเจ้าค่ะ
พอรู้เช่นนั้น มันก็เลิกไปมองเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไตรลักษณ์แล้ว เพราะทุกสิ่งมันเป็นไตรลักษณ์อยู่แล้วตามธรรมชาติเดิม
เลยได้เรียนรู้ว่า ที่แท้การที่เราไปปฏิบัติ เพื่อให้เห็นตามธรรมนั้น มันมีตัวเราที่ไปเห็น เพื่อให้ตัวเราเข้าใจ และตัวเราเป็นธรรม คือ มีตัวตนทั้งระบบเลยเจ้าค่ะ ทั้งๆที่เหมือนจะเป็นความเพียร แต่มันไถลผิดด้านไปเลย
จึงรู้ว่า เส้นทางที่เป็นอริมรรค ที่มีอยู่โดยไม่มีตัวตนของผู้เดินทาง. กับเส้นทางนอกมรรคที่มีตัวตนของผู้ปฏิบัติ พอมาถึงขั้นละเอียดภายในใจ มันเฉียดกันแค่นิดเดียวจริงๆ คือ การเอาตัวเราไปเห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา กับ ทุกสิ่งเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาอยู่แล้ว โดยไม่มีผู้เห็นนี่แหละเจ้าค่ะ
เมื่อไม่มีตัวตนของผู้เดินทาง จึงรู้ว่าธรรมะทุกอย่าง มีพร้อมอยู่แล้วในธรรมชาติ พบธรรมโดยไม่ต้องแสวงหา มันก็สงบไปเองโดยธรรมชาติเดิมอยู่แล้ว โดยไม่ขึ้นกับสิ่งใดเลยเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 และ 27 มีนาคม 2565