ผู้ถาม : กราบนมัสการ อั่ง ขอโอกาสส่งการบ้านหลวงตาค่ะ
ระหว่างที่ดูแลพี่สาว จรัสศรี ยวนังกูร อั่ง ฝึกซักซ้อมกับพี่สาว ในการพิจารณาในช่วงระยะสุดท้ายเวลาใกล้ตาย ให้พิจารณาทิ้งกายว่า เมื่อเกิดมา ร่างกายนี้ประกอบจากธาตุ 4 มีความเสื่อมสลายไป เมื่อตาย ร่างกายที่ทิ้งไว้ ก็เป็นเพียงซากศพแล้วเสื่อมสลาย เมื่อนำไปเผาก็กลายเป็นกระดูกขี้เถ้าธุลีดิน สลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ
อั่งจำตอนที่หลวงตาเคยเล่าเรื่องเวลาที่จะตาย ถ้าจิตที่ไม่ยึดแล้ว จะเห็นเหมือนผู้รู้ เกิดดับ เกิดดับ เหมือนแสงหิ่งห้อยแล้วก็ดับ กลับคืนสู่ธรรมชาติรู้ (นิพพาน) จากความไม่มีแล้วก็มีแล้วก็กลับคืนสู่ความไม่มี... เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อั่ง ให้พี่สาวบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ และคำบริกรรมที่หลวงตาสอนไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ตอนนั้นจิตบริกรรมอะไรได้ ตอนที่พี่สาวมีเวทนามาก (ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ) อั่งเคยซักซ้อมไว้แล้วจะใช้วิธีลูบแขนให้พี่สาวมารู้สึกที่เวทนาทางกาย (ที่มีเวทนาน้อยกว่า จิตจะได้มีโทสะจากความเจ็บปวดน้อยลง)
ช่วงใกล้เสียชีวิตก่อนพี่สาวจะนิ่งไปและลมหายใจก็เบาบางอั่งก็กระซิบที่ข้างหู (ได้ซักซ้อมว่าอายตนะอื่นการรับรู้ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายดับไป เหลือแต่การรับรู้ทางหู จะให้กระซิบว่าอะไรจะได้ไปพิจารณาเรื่องตัวผู้รู้ต่อเองถ้าทุกอย่างดับไปเหลือแต่ตัวรู้ให้พิจารณาว่าตัวรู้นี้ก็ไม่ใช่เรา) ก่อนจะถึงวาระสุดท้ายจริง ๆ อั่งก็กระซิบข้างหูด้วยคำบริกรรมของหลวงตาสลับกับคำว่าอนิจจังเพราะเคยซักซ้อมแล้ว พี่สาวบอกว่าก่อนตายขอคำว่าอนิจจัง
* หมายเหตุในเวลา 1 เดือนได้เคยซักซ้อมกับพี่สาวถึงความรู้ความเข้าใจและสิ่งที่ต้องการที่จะให้ทำตอนใกล้เสียชีวิตว่าต้องการให้ทำอะไรแล้วต้องพิจารณาอะไรก่อนหน้านี้ไว้แล้วค่ะ
เมื่อ 2 วันก่อนได้ฟังที่คุณหมอศรีวิไลเล่าสภาวะ*เหมือนเวลาที่จะสิ้นชีวิต ให้หลวงตาฟัง ประกอบกับอั่งเห็นสภาพจริงๆของพี่สาวขณะใกล้ตาย ทำให้เข้าใจสภาวะเวลาที่เราจะตายมากขึ้น และสภาวะความที่ยึดหรือไม่ยึดอยู่ตรงไหนและเราเพียรปฏิบัติเพื่อให้จิต ได้เข้าใจว่า จิตผู้รู้นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา เพื่อสิ้นยึดเองในวาระสุดท้ายตอนตายค่ะ
ช่วงแรก ๆ อั่งนึกถึงภาพของพี่สาว ตั้งแต่ตอนเสียชีวิต ตอนไปรับจากที่เก็บศพ ตอนก่อนเผา ตอนไปเก็บกระดูก และภาพตอนลอยอังคาร ทำให้อั่งเห็นภาพการตาย(จากมีแล้วก็ไม่มีคือมีกาย เกิดขึ้นมาแล้วก็สลาย กลับคืนสู่ธรรมชาติ)ได้ชัดขึ้นและก็น้อมสิ่งเหล่านี้เข้ามาหาตัวเองทุกครั้งว่าถึงวันหนึ่งเราก็ต้องเป็นแบบนี้ ญาติเราทุกคนก็ต้องเป็นแบบนี้ค่ะ พี่สาวอย่างน้อย 2 คน ฝากอั่งว่า ถ้าเขาใกล้ตายให้ส่งให้เขาไปดีด้วยค่ะ
ตามที่รายงานดังกล่าวข้างต้น ที่อั่งเข้าใจและที่ส่งพี่สาวตอนใกล้ตายมีสิ่งไหนที่เป็นข้อผิดพลาดหรือมีสิ่งไหนที่ หลวงตา เมตตาจะแนะนำเพิ่มเติมไหมคะ
กราบนมัสการและกราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาอย่างสูงค่ะ
หลวงตา : ยังไม่เห็นด้วยใจ (ญาณ หรือ วิมุตติญาณทัสนะ) เหมือนดั่งตาเห็นรูปว่า ความคิดปรุงแต่ง หรือ ความรู้สึกเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราในปัจจุบันขณะ เป็นจิตตสังขารเกิดดับในธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ (มีชื่อสมมติเรียกว่า “ใจ”)
***** รู้จริงด้วยใจ เห็นจริงด้วยใจ ใจเป็นความไม่มีอะไรปรากฏจริง ๆ ก็จะไม่หลงมีตัวตนเป็นเรา ตัวเรา ไปยึดสิ่งใดภายนอก หรือ ภายใน ได้แก่ ขันธ์ห้า ผู้รู้ (วิญญาณเกิดดับในขันธ์ห้า) จิตหรือใจเดิมแท้ (วิสังขารซึ่งเป็นธรรมชาติไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีอาการเกิดดับ) มาเป็นของเราให้เป็นกิเลส ตัณหา และ ความทุกข์ทั้งมวลได้อีกต่อไป
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2565