หลวงตาณรงศักดิ์ ขีณาลโย

  • หน้าหลัก
  • สื่อธรรมะ
    • หนังสือธรรมะ
    • เสียงธรรม
      • เสียงธรรมรายปี
      • ไฟล์เสียงจัดชุด
    • CD
    • e-Book ปุจฉา-วิสัชนา
  • ปุจฉา-วิสัชนา
  • ภาพธรรม
  • วิดีโอธรรม
  • ธรรมทัศน์
  • ธรรมถึงใจ
  • ธรรมโอวาท
    • โอวาทธรรม
      • โอวาทธรรม 60-61
      • โอวาทธรรม 62
        • โอวาทธรรม ม.ค. - มี.ค. 62
        • โอวาทธรรม เม.ย.- มิ.ย. 62
        • โอวาทธรรม ก.ค. - ก.ย. 62
        • โอวาทธรรม ต.ค. - ธ.ค. 62
      • โอวาทธรรม 63
        • โอวาทธรรม ม.ค. - มี.ค. 63
        • โอวาทธรรม เม.ย. - มิ.ย. 63
        • โอวาทธรรม ก.ค. - ก.ย. 63
        • โอวาทธรรม ต.ค. - ธ.ค. 63
      • โอวาทธรรม 64
        • โอวาทธรรม ม.ค. - มี.ค. 64
      • โอวาทธรรมถึงใจ
    • ปกิณกธรรม
    • ประชาสัมพันธ์สื่อธรรม
    • โอวาทธรรมชุด
  • Other Languages
    • English
    • Deutsch

รู้แก่ใจว่าจิตตสังขารเกิดดับในใจในปัจจุบันขณะ

รู้แก่ใจว่าจิตตสังขารเกิดดับในใจในปัจจุบันขณะ

 

ผู้ถาม : ตื่นเช้ามามันก็มองเห็นความจริงว่าทำไมหลวงตาบอกว่า ขอแค่ให้หนทางรอดเท่านั้น ตัวเราจะไปทางนั้นและใจมันจะเป็นกิเลสกลับคืนโลกทันที ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วใจเรามันไม่ได้เกิดมาเพื่อจะละ จะปล่อย จะวางแบบที่หมอนฤมลเป็น เค้าถึงสิ้นยึดท่ามกลางความมีได้

 

แต่ใจเรามันเกิดมาพร้อมความปรารถนาที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ตอนเรียนก็สอบได้ที่ 1 ตอนเป็นหมอก็สอบได้คะแนนสูงสุด พอมาปฏิบัติธรรมก็อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการเผยแพร่ธรรมะ มันเป็นอนุสัยของเราจริง ๆ แต่ธรรมะที่ปล่อยวางสิ้นยึดในสิ่งต่าง ๆ มันเกิดได้เพราะเราถูกความตายบีบบังคับ คือ พอจะตายแล้ว มันหมดหนทางไปเป็นอย่างที่อยาก สุดท้ายมันก็ต้องวางทุกสิ่งไปเอง

 

แต่พอมันปล่อยวางจากเงื่อนไขของความตาย ไม่ได้เป็นไปด้วยความเต็มใจจริง ๆ พอมีหนทางที่จะไม่ตายโผล่มา อย่างครั้งนี้ก็คือ รักษาครบจะดีขึ้นแล้ว จะหายแล้ว แล้วอนุสัยมันยังละไม่ขาด มันคืนกิเลสตายแล้วฟื้นทันที เป็นเหตุให้ต้องโดนกินยาขมอีกรอบ ที่ขมหนักกว่าเดิม คือ โรคกลับมา โดนผ่าตัดใหญ่ โดนยาที่แรงกว่าเก่า อยู่กับความตายที่ยิ่งกว่าตายอีกรอบหนึ่ง

 

เราจึงพิจารณาปล่อยวางเส้นทางที่อนุสัยเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น พยายามตัดใจให้ขาด แต่ตอนแรกมันตัดไม่ได้ มันรู้เลยว่า มันไม่เด็ดขาดขนาดนั้น ถ้ามีคนเอาหนทางรอดให้ เอาความมีสิ่งใด ๆ ทั้งหมดให้ มันยังจะกลับทางนั้นอยู่แน่ ๆ

 

เป็นนิมิตที่เห็นตัวเองกำลังเดินกลับทางเดิม แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในทางนั้น มันปรากฏภาพหลวงตาขึ้นมา แล้วเราก็นึกได้ว่า ทางที่จะกลับไปมันมีทุกอย่างแต่ไม่มีหลวงตา เพียงแค่นั้นมันก็คิดได้ จริง ๆ ไม่ต้องคิดเลย ใจมันบอกเลยว่า จะมีอะไร เป็นผู้ยิ่งใหญ่แค่ไหนมันก็ไม่เอาแล้ว ต่อให้ไม่มีความตายมาบังคับ ต่อให้เราจะรอดหรือไม่รอด ก็จะไม่กลับคืนทางนั้นอีกเป็นอันขาด

 

ใจมันเด็ดขาดที่จะ ‘ไม่เอา’ เพราะปัจจัยเดียวที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต คือ ขอเดินทางที่มีหลวงตาเท่านั้น เราเลยเข้าใจได้ว่าทำไมหลวงตาจึงมาสอนเราได้ในความตายตอนจิตสุดท้าย เพราะใจเราเลือกเอง เลือกหลวงตาให้ท่านเมตตานำทางเรา แล้วก็น้ำตาไหลเหมือนถอดถอนบางสิ่งออกจากใจ

 

หลังจากนั้นทุกสิ่งที่เป็นตัวเราเป็นนิสัยสันดานเดิม มันก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เพิ่งรู้ว่าเราเป็นคนขี้โมโห อะไรนิดหน่อยก็โวยวาย

 

อย่างพี่พยาบาลเค้ามาแทงเข็มจะให้ยา ตอนแทงเจ็บ มันก็ปรากฏจิตไปด่าเขาแล้ว ปวดเพิ่มก็เห็นจิตไปโวยวาย แต่แปลกที่จิตตสังขารที่ปรากฏเหมือนมันปรากฏเป็นธรรมดา และมันถูกรู้ในขณะที่มันปรากฏ มันเกิดเองและดับไปเอง โดยไม่มีใครไปทำอะไรกับมันทั้งสิ้น รู้มันก็ไม่ได้ไปด่าเขาตามมัน ก็แค่รู้เฉย ๆ ไปตามนั้น

 

แล้วทั้งวัน มันก็ปรากฏจิตตสังขารที่เป็นอนุสัยของตัวเองเต็มไปหมด ทั้งขี้โมโห ขี้กังวล วัน ๆ คิดไปถึงแต่อนาคตว่าถ้าบวชและไม่ได้มีคำนำหน้าเป็นหมอแล้ว จะยังได้รับการรักษาอย่างนี้ไหม เป็นกิเลสที่ยังห่วงตัวเองอยู่ชัด ๆ แต่พอทุกอย่างมันถูกเห็น ถูกรู้เสียแล้ว มันกลับหมดพิษสง ที่จะดึงดูดใจให้ไปตามมัน เหมือนมันรู้ของมันเองว่า นิสัยที่ปรากฏมันเป็นความปรุงแต่ง ไม่ได้มีความหมายใดเลยต่อใจที่สักแต่ว่ารู้ คือ จะอนุสัยก็ตาม กิเลสก็ตาม ปรุงแต่งใดก็ตาม มันขาดกันเลยกับ ‘รู้’ ไม่เกี่ยวกัน
จึงรู้ว่าจริง ๆ แล้ว สิ่งที่ดึงดูดเราสู่โลกทั้งสาม มันไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือจิตปรุงแต่งในใจเราเอง และการพ้นไปจากโลกทั้งสาม มันก็คือพ้นจากความปรุงแต่งของโลกภายใน เป็นใจที่รู้ชัดว่า ไม่มีจิตใดที่ปรากฏแล้วมีอิทธิพลต่อใจอีกต่อไปแล้ว

 

ดังนั้นจะไปเป็นภพชาติเป็นทุกข์มันก็อยู่ในใจเรา แต่ว่าความพ้นทุกข์คือใจนั้น มันก็คือใจเรา มันอยู่กับเราเช่นกัน เมื่อใจไม่ไปตามกิเลส อาสวะและอวิชชาที่ปรากฏในทุกขณะปัจจุบัน นั่นก็คือใจที่พ้นจากทุกข์ พ้นจากโลกทั้งสามอยู่แล้วในตัวของมันเอง

 

มันจึงไม่ใช่ว่าต้องไปพยายามทำอะไรเพื่อให้เป็นใจที่ไม่ปรุงแต่ง แต่เมื่อสละโลกภายในไม่ไปตามความปรุงแต่งของสังขารทั้งหมดแล้ว มันก็เป็นใจที่พ้นทุกข์ไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ‘ความโกรธก็มี แต่ไม่เอา’ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

 

เราจึงรู้ว่าการป่วยหนักครั้งใหม่ มันจะเป็นภาคปฏิบัติของสิ่งที่เราเขียนบทจบ 8 หน้าสุดท้ายนั่นเอง ทำให้เราค้นพบ ‘โลกภายใน’ ของตัวเองอย่างแจ่มแจ้งและเรียนรู้ที่จะสละโลกภายในนั้น สิ้นโลกแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงนิพพานหรือความพ้นทุกข์กันอีก เพราะมันไม่มีอะไรให้พูดถึงแล้วนั่นเอง

 

 

หลวงตา : “ญาณ คือ ความรู้แจ้งจากใจ วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ (สิ้นอวิชชา) เห็นจิตตสังขารเกิดเอง ดับเองในปัจจุบันขณะ

 

***** และ รู้แก่ใจ เห็นด้วยใจ ว่าคงมีแต่จิตตสังขารเกิดดับในใจในปัจจุบันขณะ ส่วนตัวตนของผู้รู้ ผู้ยึดถือไม่มี จึงเหมือนกับว่า จิตตสังขารเกิดเอง ดับเองในความว่างของธรรมชาติ

 

เมื่อไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ จึงไม่มีผู้ทุกข์ ภาษาสมมติเรียกว่า “นิพพาน”

 

นิพพาน จึงไม่เกี่ยวกับผู้บวชหรือไม่บวช ดังนั้น จึงไม่ต้องวิตกกังวลกับการบวชหรือไม่บวช และ ต้องเบิกค่ารักษาพยาบาล จึงไม่ต้องพูดถึงการบวชให้พ่อแม่เสียใจ

 

***** ประการสำคัญ เมื่อเป็นใจที่ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เพราะสิ้นตัวตนของผู้รู้ สิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่น จึงไม่มีตัวเราตาย มีแต่ธาตุขันธ์ซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับเป็นธรรมดา
เมื่อใจเป็นความว่างหนึ่งเดียวกับความว่างของธรรมชาติ จึงไม่มีผู้วิตกกังวลว่าตัวเราจะตาย

 

ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565

Tweet
  • Social sharing:
  • Add to Facebook
  • Add to Delicious
  • Digg this
  • Add to StumbleUpon
  • Add to Technorati
  • Add to Reddit
  • Add to MySpace
  • Like this? Tweet it to your followers!
More in this category: « รู้แจ้งแก่ใจในทุกปัจจุบันขณะ เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม »
back to top

Search

ปุจฉาวิสัชนา Archive

  • ปุจฉา-วิสัชนา 2560
    • พฤษภาคม 60
    • มิถุนายน 60
    • กรกฎาคม 60
    • สิงหาคม 60
    • กันยายน 60
    • ตุลาคม 60
    • พฤศจิกายน 60
    • ธันวาคม 60
  • ปุจฉา-วิสัชนา 2561
    • มกราคม 61
    • กุมภาพันธ์ 61
    • มีนาคม 61
    • เมษายน 61
    • พฤษภาคม 61
    • มิถุนายน 61
    • กรกฎาคม 61
    • สิงหาคม 61
    • กันยายน 61
    • ตุลาคม 61
    • พฤศจิกายน 61
    • ธันวาคม 61
  • ปุจฉา-วิสัชนา 2562
    • มกราคม 62
    • กุมภาพันธ์ 62
    • มีนาคม 62
    • เมษายน 62
    • พฤษภาคม 62
    • มิถุนายน 62
    • กรกฎาคม 62
    • สิงหาคม 62
    • กันยายน 62
    • ตุลาคม 62
    • พฤศจิกายน 62
    • ธันวาคม 62
  • ปุจฉา-วิสัชนา 2563
    • มกราคม 63
    • กุมภาพันธ์ 63
    • มีนาคม 63
    • เมษายน 63
    • พฤษภาคม 63
    • มิถุนายน 63
    • กรกฎาคม 63
    • สิงหาคม 63
    • กันยายน 63
    • ตุลาคม 63
    • พฤศจิกายน 63
    • ธันวาคม 63
  • ปุจฉา-วิสัชนา 2564
    • มกราคม 64
    • กุมภาพันธ์ 64
    • มีนาคม 64
    • เมษายน 64
    • พฤษภาคม 64
    • มิถุนายน 64
    • กรกฎาคม 64
    • สิงหาคม 64
    • กันยายน 64
    • ตุลาคม 64
    • พฤศจิกายน 64
    • ธันวาคม 64
  • ปุจฉา-วิสัชนา 2565
    • มกราคม 65
    • กุมภาพันธ์ 65
    • มีนาคม 65
    • เมษายน 65
    • พฤษภาคม 65
    • มิถุนายน 65
    • กรกฎาคม 65
    • สิงหาคม 65
    • กันยายน 65
    • ตุลาคม 65
    • พฤศจิกายน 65
    • ธันวาคม 65
  • ปุจฉา-วิสัชนา 2566
    • มกราคม 66
    • กุมภาพันธ์ 66
    • มีนาคม 66
    • เมษายน 66
    • พฤษภาคม 66
    • มิถุนายน 66
    • กรกฎาคม 66
    • สิงหาคม 66
    • กันยายน 66

5BA01AEA 57EC 462B B6FB 90B6B03148ED

719CBB23 865C 4DF5 A1C8 222F752DCCBB

« May 2025 »
Mon Tue Wed Thu Fri Sat Sun
      1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31  

Facebook

เพจหลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย

บทถอนอธิษฐาน

  • บทถอนอธิษฐาน
Copyright © หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย 2025 All rights reserved.
กุมภาพันธ์ 65