ผู้ถาม : ตื่นเช้ามามันก็มองเห็นความจริงว่าทำไมหลวงตาบอกว่า ขอแค่ให้หนทางรอดเท่านั้น ตัวเราจะไปทางนั้นและใจมันจะเป็นกิเลสกลับคืนโลกทันที ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วใจเรามันไม่ได้เกิดมาเพื่อจะละ จะปล่อย จะวางแบบที่หมอนฤมลเป็น เค้าถึงสิ้นยึดท่ามกลางความมีได้
แต่ใจเรามันเกิดมาพร้อมความปรารถนาที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ตอนเรียนก็สอบได้ที่ 1 ตอนเป็นหมอก็สอบได้คะแนนสูงสุด พอมาปฏิบัติธรรมก็อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในการเผยแพร่ธรรมะ มันเป็นอนุสัยของเราจริง ๆ แต่ธรรมะที่ปล่อยวางสิ้นยึดในสิ่งต่าง ๆ มันเกิดได้เพราะเราถูกความตายบีบบังคับ คือ พอจะตายแล้ว มันหมดหนทางไปเป็นอย่างที่อยาก สุดท้ายมันก็ต้องวางทุกสิ่งไปเอง
แต่พอมันปล่อยวางจากเงื่อนไขของความตาย ไม่ได้เป็นไปด้วยความเต็มใจจริง ๆ พอมีหนทางที่จะไม่ตายโผล่มา อย่างครั้งนี้ก็คือ รักษาครบจะดีขึ้นแล้ว จะหายแล้ว แล้วอนุสัยมันยังละไม่ขาด มันคืนกิเลสตายแล้วฟื้นทันที เป็นเหตุให้ต้องโดนกินยาขมอีกรอบ ที่ขมหนักกว่าเดิม คือ โรคกลับมา โดนผ่าตัดใหญ่ โดนยาที่แรงกว่าเก่า อยู่กับความตายที่ยิ่งกว่าตายอีกรอบหนึ่ง
เราจึงพิจารณาปล่อยวางเส้นทางที่อนุสัยเราอยากได้ อยากมี อยากเป็น พยายามตัดใจให้ขาด แต่ตอนแรกมันตัดไม่ได้ มันรู้เลยว่า มันไม่เด็ดขาดขนาดนั้น ถ้ามีคนเอาหนทางรอดให้ เอาความมีสิ่งใด ๆ ทั้งหมดให้ มันยังจะกลับทางนั้นอยู่แน่ ๆ
เป็นนิมิตที่เห็นตัวเองกำลังเดินกลับทางเดิม แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปในทางนั้น มันปรากฏภาพหลวงตาขึ้นมา แล้วเราก็นึกได้ว่า ทางที่จะกลับไปมันมีทุกอย่างแต่ไม่มีหลวงตา เพียงแค่นั้นมันก็คิดได้ จริง ๆ ไม่ต้องคิดเลย ใจมันบอกเลยว่า จะมีอะไร เป็นผู้ยิ่งใหญ่แค่ไหนมันก็ไม่เอาแล้ว ต่อให้ไม่มีความตายมาบังคับ ต่อให้เราจะรอดหรือไม่รอด ก็จะไม่กลับคืนทางนั้นอีกเป็นอันขาด
ใจมันเด็ดขาดที่จะ ‘ไม่เอา’ เพราะปัจจัยเดียวที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต คือ ขอเดินทางที่มีหลวงตาเท่านั้น เราเลยเข้าใจได้ว่าทำไมหลวงตาจึงมาสอนเราได้ในความตายตอนจิตสุดท้าย เพราะใจเราเลือกเอง เลือกหลวงตาให้ท่านเมตตานำทางเรา แล้วก็น้ำตาไหลเหมือนถอดถอนบางสิ่งออกจากใจ
หลังจากนั้นทุกสิ่งที่เป็นตัวเราเป็นนิสัยสันดานเดิม มันก็ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง เพิ่งรู้ว่าเราเป็นคนขี้โมโห อะไรนิดหน่อยก็โวยวาย
อย่างพี่พยาบาลเค้ามาแทงเข็มจะให้ยา ตอนแทงเจ็บ มันก็ปรากฏจิตไปด่าเขาแล้ว ปวดเพิ่มก็เห็นจิตไปโวยวาย แต่แปลกที่จิตตสังขารที่ปรากฏเหมือนมันปรากฏเป็นธรรมดา และมันถูกรู้ในขณะที่มันปรากฏ มันเกิดเองและดับไปเอง โดยไม่มีใครไปทำอะไรกับมันทั้งสิ้น รู้มันก็ไม่ได้ไปด่าเขาตามมัน ก็แค่รู้เฉย ๆ ไปตามนั้น
แล้วทั้งวัน มันก็ปรากฏจิตตสังขารที่เป็นอนุสัยของตัวเองเต็มไปหมด ทั้งขี้โมโห ขี้กังวล วัน ๆ คิดไปถึงแต่อนาคตว่าถ้าบวชและไม่ได้มีคำนำหน้าเป็นหมอแล้ว จะยังได้รับการรักษาอย่างนี้ไหม เป็นกิเลสที่ยังห่วงตัวเองอยู่ชัด ๆ แต่พอทุกอย่างมันถูกเห็น ถูกรู้เสียแล้ว มันกลับหมดพิษสง ที่จะดึงดูดใจให้ไปตามมัน เหมือนมันรู้ของมันเองว่า นิสัยที่ปรากฏมันเป็นความปรุงแต่ง ไม่ได้มีความหมายใดเลยต่อใจที่สักแต่ว่ารู้ คือ จะอนุสัยก็ตาม กิเลสก็ตาม ปรุงแต่งใดก็ตาม มันขาดกันเลยกับ ‘รู้’ ไม่เกี่ยวกัน
จึงรู้ว่าจริง ๆ แล้ว สิ่งที่ดึงดูดเราสู่โลกทั้งสาม มันไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือจิตปรุงแต่งในใจเราเอง และการพ้นไปจากโลกทั้งสาม มันก็คือพ้นจากความปรุงแต่งของโลกภายใน เป็นใจที่รู้ชัดว่า ไม่มีจิตใดที่ปรากฏแล้วมีอิทธิพลต่อใจอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นจะไปเป็นภพชาติเป็นทุกข์มันก็อยู่ในใจเรา แต่ว่าความพ้นทุกข์คือใจนั้น มันก็คือใจเรา มันอยู่กับเราเช่นกัน เมื่อใจไม่ไปตามกิเลส อาสวะและอวิชชาที่ปรากฏในทุกขณะปัจจุบัน นั่นก็คือใจที่พ้นจากทุกข์ พ้นจากโลกทั้งสามอยู่แล้วในตัวของมันเอง
มันจึงไม่ใช่ว่าต้องไปพยายามทำอะไรเพื่อให้เป็นใจที่ไม่ปรุงแต่ง แต่เมื่อสละโลกภายในไม่ไปตามความปรุงแต่งของสังขารทั้งหมดแล้ว มันก็เป็นใจที่พ้นทุกข์ไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนที่หลวงปู่ดูลย์บอกว่า ‘ความโกรธก็มี แต่ไม่เอา’ มันเป็นแบบนี้นี่เอง
เราจึงรู้ว่าการป่วยหนักครั้งใหม่ มันจะเป็นภาคปฏิบัติของสิ่งที่เราเขียนบทจบ 8 หน้าสุดท้ายนั่นเอง ทำให้เราค้นพบ ‘โลกภายใน’ ของตัวเองอย่างแจ่มแจ้งและเรียนรู้ที่จะสละโลกภายในนั้น สิ้นโลกแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงนิพพานหรือความพ้นทุกข์กันอีก เพราะมันไม่มีอะไรให้พูดถึงแล้วนั่นเอง
หลวงตา : “ญาณ คือ ความรู้แจ้งจากใจ วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ (สิ้นอวิชชา) เห็นจิตตสังขารเกิดเอง ดับเองในปัจจุบันขณะ
***** และ รู้แก่ใจ เห็นด้วยใจ ว่าคงมีแต่จิตตสังขารเกิดดับในใจในปัจจุบันขณะ ส่วนตัวตนของผู้รู้ ผู้ยึดถือไม่มี จึงเหมือนกับว่า จิตตสังขารเกิดเอง ดับเองในความว่างของธรรมชาติ
เมื่อไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ จึงไม่มีผู้ทุกข์ ภาษาสมมติเรียกว่า “นิพพาน”
นิพพาน จึงไม่เกี่ยวกับผู้บวชหรือไม่บวช ดังนั้น จึงไม่ต้องวิตกกังวลกับการบวชหรือไม่บวช และ ต้องเบิกค่ารักษาพยาบาล จึงไม่ต้องพูดถึงการบวชให้พ่อแม่เสียใจ
***** ประการสำคัญ เมื่อเป็นใจที่ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เพราะสิ้นตัวตนของผู้รู้ สิ้นตัวตนของผู้ยึดมั่น จึงไม่มีตัวเราตาย มีแต่ธาตุขันธ์ซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับเป็นธรรมดา
เมื่อใจเป็นความว่างหนึ่งเดียวกับความว่างของธรรมชาติ จึงไม่มีผู้วิตกกังวลว่าตัวเราจะตาย
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565