ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
ที่ของหลวงปู่มั่น ก็เข้าใจง่ายดีเจ้าค่ะ เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็เข้านิโรธสมาบัติ และอธิษฐานว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อ
แล้วถอยมาฌาน 4 เพื่อพัก
แล้วถอยมาฌาน 1 เพื่อพิจารณาว่าจะอยู่กี่ปี
แต่อย่างนี้ พระอรหันต์ที่ไม่มีฌานก็ใช้วิธีนี้เพื่อต่ออายุไม่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : เข้าใจว่า… แม้พระอรหันต์ที่ไม่มีฌานก็สามารถต่ออายุได้ ถ้ามีอิทธิบาท 4 อย่างใดที่ถึงใจให้ท่านจำเป็นต้องมีชีวิตต่อเพื่อทำประโยชน์ เช่น
ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ต่อจะทำให้ลูกศิษย์อีกหลายท่านที่มีบุญวาสนาบารมีจะนิพพานได้ แล้วเขามีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร หิริ-โอตตัปปะ และขันติอยู่ ซึ่งถ้าเขาเหล่านั้นนิพพานแล้ว จะทำให้รักษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไปอีกได้ อย่างนี้ท่านก็น่าจะอธิษฐานจิตและเจริญโพชฌงค์อยู่ต่อได้
อธิษฐานจิตทุกวันสม่ำเสมอเหมือนกินอาหารทุกวันขาดไม่ได้
ขณะอธิษฐานจิตก็เหมือนกับที่พวกเราทำพลังลมปราณ กลั้นลมหายใจ ลมไม่เคลื่อน สติ สัมปชัญญะอยู่กับคำสวดหรือคำอธิษฐาน โดยขณะสวดหรืออธิษฐานจิต จะต้องไม่มีกิเลส ตัณหา โดยมีความอยาก หรือ ขาดสติเผลอไหลไปตามจิตปรุงแต่ง แล้วทั้งวันจะต้องมีสติสัมโพชฌงค์…… จนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ทั้งวัน
พระอรหันต์ทุกท่าน ถึงแม้บางท่านไม่สามารถเข้าฌานได้จนถึงฌานที่แปดก็ตาม แต่ทุกท่านสิ้นยึด คือ สิ้นอวิชชา สิ้นหลงยึดเป็นอัตตาตัวตน จึงสิ้นกิเลส ตัณหา ดังนั้น ท่านจึงไม่มีตัวตน ไม่มีกิเลส ตัณหา ในขณะอธิษฐานจิต และสามารถเจริญโพชฌงค์เจ็ดได้สมบูรณ์บริบูรณ์ โดยไม่ขาดสติในชีวิตประจำวัน
เมื่อยังไม่เป็นพระอรหันต์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการฝึกอย่างหนักทุกวัน ก็ต้องเพียรฝึกทำพลังลมปราณ กลั้นลมหายใจ จิตหรือสติไม่เคลื่อนขณะอธิษฐานจิต และ ไม่มีอัตตาตัวตนหรือกิเลส ตัณหาในขณะอธิษฐานจิต แล้วเจริญสติสัมโพชฌงค์ทั้งวัน จะสั่งสมประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญขึ้นมาเอง
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2565