ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
ตอนช่วงเย็น มันมีบทเรียนหนึ่งเกิดขึ้นเจ้าค่ะ คือพอเผลอขาดสติ ็มีอาการทางกายอะไรขึ้นมา มันเผลอไปยึดอัตโนมัติเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้ตัวเลย
จนเซ็นเซอร์เตือนเริ่มปวดหัวนิดๆ เลยกลับมาพิจารณา อ้าวมีแน่นจมูก เจ็บคอนิดๆ แล้วมันคิดไปเรื่องโควิดนี่นา แล้วมีปวดท้อง กังวลเรื่องจะติดเชื้อเพิ่มอีก คิดปุ๊บ ปวดหัวทันทีเจ้าค่ะ และที่สำคัญที่สุด คือ ความรู้แก่ใจ ว่าใจเป็นใจ สังขารเป็นสังขารนั้น ได้หายไปแล้ว
แต่ครั้งนี้ ไม่ได้วุ่นวายเท่าเก่า เหมือนมันรู้แล้วจากประสบการณ์เดิมว่าต้องปฏิบัติอย่างไรเจ้าค่ะ คืออันดับแรกต้องหยุดดิ้น ที่จะอยากออกจากสภาวะใดๆก่อน หยุดแล้วก็สงบใจ พิจารณาว่าเหตุก็เพราะยึดกาย ยึดสังขาร
พอรู้ก็อาศัยบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบารมีตนเองที่ทำมา ถอนขาดที่ใจเลยเจ้าค่ะ
คำว่าถอนขาด คือ เด็ดขาดที่จะไม่เอาอะไรเลย ไม่เอาสังขารอื่นใดเลย ให้นิพพาน สิ้นกิเลส สิ้นอวิชชาเท่านั้น เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีสอง หลังจากนั้นมันก็เป็นรู้สังขารออกมาจากใจ โดยอัตโนมัติเลยเจ้าค่ะ
ลูกเลยเรียนรู้ว่า ถ้าจะเอาสังขารอื่นรอดด้วย จะเป็นสังขารอะไรก็ตามแต่ มันก็ไม่ต่างอะไร กับการสละพระนิพพานไปเอาสังขาร โดยอัตโนมัติเจ้าค่ะ
แต่ถ้าไม่เอาอะไรอีกแล้ว คือ ไม่เอาอีกแล้วจากใจจริงๆ ไม่เอา ไม่แอบเอา ไม่แอบหวัง ไม่แอบปรารถนา ไม่แอบคิด ไม่แอบกังวล กับสิ่งใดที่เป็นสังขารอีก
ถ้าใจจริงขอเพียงนิพพานเท่านั้น สำหรับลูก มันคือนิพพานได้เลย เข้าถึงธรรมชาติที่ใจเป็นใจ สังขารเป็นสังขาร ก็จะพ้นทุกข์เดี๋ยวนั้น แต่ตัวที่ขัดขวาง นิพพานไม่ได้ อวิชชาของตัวเอง คือ มันจะเอาอันอื่นด้วย มันมีความโลภในสิ่งอื่นนอกจากนิพพาน และสิ่งนั้นก็ขวางธรรมในขณะที่ยึดเจ้าค่ะ
ถ้ารู้แล้วว่ากิเลสของตนเองคืออะไร มันง่ายกว่าเดิมมากเลยเจ้าค่ะ แค่ยอมสละสิ่งนั้นเจ้าค่ะ
หลวงตา : ความเป็นตัวตน เป็นความคิดปรุงแต่ง เกิดดับจากความ “ไม่มี” ในปัจจุบันขณะ
ในความ “ไม่มี” ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตา ที่เมตตาเตือนสติเจ้าค่ะ
สุดท้ายก็โดนหลอก ตัวเองหลอกตัวเอง เพื่อจะไปเอาสิ่งนั้น สละทุกสิ่งได้ แต่ขอเป็นแบบนั้นตลอดไป ไม่หวนกลับคืน
แต่ลืมไปสนิท ว่าจะไปเอาอะไร เพราะมันไม่ได้มีอะไรอยู่ในนั้นเลยเจ้าค่ะ และมันเป็นของมันแบบนั้นเอง แต่มันไม่ได้เป็นของเราเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2564