ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
หลังส่งการบ้านไปแล้ว ก็หลับฝันเป็นธรรมเจ้าค่ะ
ฝันว่าจริงๆ แล้ว มันไม่มีใครหรอก จะยื่นมือไปจับถือผ้าไว้ได้ตลอดไปสุดท้ายเค้าเมื่อย เค้าทุกข์ เค้าเห็นว่าการประคองรักษาผ้านั้นมันสุดมือเอื้อมแล้ว คนทุกคนก็ต้องปล่อยวางทุกสิ่งไปเอง
มันไม่ต้องไปบีบบังคับ ไปสอน หรือพยายามจะบอกเค้าเดี๋ยวนี้ วางเดี๋ยวนี้ ในช่วงที่ยังไม่ถึงเวลาของเขา
เพราะเมื่อถึงเวลานึง ทุกสิ่งต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง เจ้าค่ะ
ลูกเลยเข้าใจนิทานเซ็น
ที่พอคนแก่ทิ้งกระสอบ ชายหนุ่มก็บรรลุธรรม
เมื่อบรรลุธรรมแล้ว ทำเช่นไรต่อ คนแก่ก็แบกกระสอบกลับคืนมา คือ เมื่อไม่มีตัวตนแล้ว ก็อยู่กับโลกไป โดยไม่มีผู้แบกแล้ว เท่านั้นเอง เจ้าค่ะ
ลูกคิดว่า ธรรมะมันง่ายมาก
ง่ายมาก ถ้าไม่มีผู้ฝืนความจริง ในปัจจุบันขณะ ธรรมชาติอะไรเป็นเช่นใด มันก็คือ เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ
หลวงตา : ธรรมชาติเขาเป็นสัจธรรมความจริงเช่นนั้นเอง (ตถตา)
เมื่อเหตุปัจจัยให้เกิดมีอยู่ ความเกิดย่อมมีอยู่ เมื่อสิ้นเหตุปัจจัย สิ่งนั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา จะพยายามฝืนความจริงอย่างไร ก็ทุกข์เปล่าๆ เพราะความจริง ย่อมเป็นความจริง จะฝืนความจริงไปไม่ได้
ธรรมชาติของกรรม (อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม สังขารกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณกรรม….) ให้ผลเที่ยงธรรม ยุติธรรมเสมอกันหมด
มีแต่กิเลส ตัณหาของเราเท่านั้นที่มีความดิ้นรนทะยานอยากเป็นไป หรือ ไม่อยากให้เป็นไปตามกรรมหรือตามธรรม เมื่อพยายามฝืนความจริงจึงมีความทุกข์มาก
เมื่ออวิชชาดับไป เพราะใจวิราคะ คือ หมดยางเหนียว สังขารกรรมก็ดับสังขารกรรมดับ วิญญาณกรรมก็ดับไปเหมือนไฟสิ้นเชื้อ ความทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์ก็ดับหมด
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2564