หลวงตา : จิตคิดปรุงแต่งอย่างไร ก็คงเป็นจิต
ใจ (วิสังขาร) ก็คงเป็นใจตลอดเวลา
จิตคิดปรุงแต่งอย่างไร บางครั้งเหมือนคนเป็นโรควัยทอง
แต่ธรรมชาติเดิมของจิตหรือใจ (สิ้นหลงยึดมั่นเป็นตัวเรา ของเรา ) จะไม่หมุนตาม ไม่ไหลตาม หรือ ไม่แยกตัวออกมาตั้งอยู่ต่างหากจากจิตที่คิด ปรุงแต่ง เพราะจิตหรือใจเดิม ซึ่งเป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ธรรมธาตุ สุญญตา นิพพาน เป็นธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐาน ไม่มีเครื่องหมาย ไม่อาจคิด ไม่อาจปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกทำลาย หรือ หายไป
*****เขาเป็นธรรมชาติเช่นนั้นของเขาเอง ไม่มีผู้ใดบังอาจพยายามปรุงแต่งให้เป็นธรรมชาตินิพพานขึ้นมาได้
***** ถึงแม้จะมีความหลงคิด หลงปรุงแต่ง เป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ก็เป็นเพียงหลงลืมธรรมชาติเดิมของนิพพานไปเสียเท่านั้น มันไม่ได้ทำให้ธรรมชาติของนิพพานสูญหายไป และ เมื่อรู้สึกตัว หรือ เมื่อมีสติขึ้นมา เป็น “วิชชา” ก็ไม่ได้ทำให้ธรรมชาติของนิพพานเพิ่งปรากฏขึ้นมา
อย่าประมาท
แม้ทำงานทางโลก ก็จะต้องไม่ทิ้งธรรม
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ หลวงตา
มันรู้สึกว่า สภาวจิตทั้งหมดที่เป็นอยู่นั้น จะโลกก็ตาม จะธรรมก็ตาม มันก็เป็นของธรรมดาอย่างนั้นเจ้าค่ะ
มันไม่ได้มีปรากฏขึ้นมา เพื่อผู้ใด หรือเพื่ออะไรเลย
มันมีขึ้นมาของมันเองแบบนั้น
และในช่วงทำพลังลมปราณ มันสงบ ร่มเย็น ไม่มีตัวที่จะไปบังคับอะไรลมหายใจ ที่จะทำให้อะไรเป็นอะไรอีกแล้ว
แต่การรั่ว ไม่รั่ว จะขึ้นกับว่า มันหลงไปแตะความคิด หรือสักแต่ว่ารู้ความคิดหรือความปรุงแต่งเจ้าค่ะ
ถ้าหลงไปแตะความคิด ไม่รู้คิด ไม่มีสติต่อความคิด มันก็รั่วเจ้าค่ะ
สติกับใจ ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ หลวงตา
หลวงตา : ยังหลง (อวิชชา) ยึดมั่นมีตัวเรา จิตหรือใจของเรา มีเราขาดสติหลงไปแตะความคิด แล้ว มีตัวเราจะต้องพยายามมีสติเป็นหนึ่งกับใจ เพื่อให้ใจของเราเป็นอิสระอย่างถาวร
ผู้ถาม : จริงด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา
ถ้าหลวงตาไม่ชี้ มันก็ไม่เห็นเลยเจ้าค่ะ
พอมันเห็นว่าหลง มันก็หายไปเองเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2564